บทที่-๑๒
เมืองไชยา สมัย ท้าวอู่ทอง หนีภัยสงครามแย่งม้า มาที่เมืองศรีโพธิ์
ประวัติ เจ้าพระยาศรีธรรมโศก หรือ พระวิษณุกรรมเทพบุตร ผู้สร้างชื่อเมืองไชยา
ขุนศรีธรรมโศก เป็นพระราชโอรส ของ พระยาศรีจง(พระวิษณุกรรม) กับ พระนางอุษา(แม่นางส่ง) ประสูติที่เมืองพาน-กง เทือกเขาภูพาน ในวัยเด็กได้ลี้ภัยสงคราม มาเติบโตที่ พระราชวังถ้ำตะเกียบ เมืองคลองวัง(ท่าชนะ) เมื่อโตขึ้นได้ออกผนวช และได้ไปศึกษาวิศวกรรม และ สถาปัตยกรรม ที่มหาวิทยาลัยนาลันทา อินเดีย
หลังการสำเร็จการศึกษา เมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๑๖๘ ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงจีน ราชธิดา ของ ฮ่องเต้หยางกวง พระนาม เจ้าหญิงหยางกุ่ย มีพระนามเป็นไทยว่า พระนางสุวรรณจักรี เป็นผู้นำตะเกียบ มาใช้ที่แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) และ ดินแดนสุวรรณภูมิ ประทับอยู่ที่บริเวณ วัดถ้ำตะเกียบ ภูเขาแม่นางส่ง ในปัจจุบัน ต่อมาได้รับโปรดเกล้าให้เป็น พระยาศรีธรรมโศก และ เจ้าพระยาศรีธรรมโศก เป็นราชาปกครองเมืองศรีโพธิ์(ไชยา) มีพระราชวังหลวงตั้งอยู่ที่ บริเวณถ้ำตะเกียบ ทิศใต้ของ ภูเขาแม่นางส่ง เมืองศรีโพธิ์ มีพระราชธิดา ๑ พระองค์ คือ พระนางบัวจันทร์(มเหสีฝ่ายซ้าย ของ ท้าวอู่ทอง) และมีพระราชโอรส ๑ พระองค์ คือ ขุนศรีวิชัย
พระยาศรีธรรมโศก ซึ่งเคยสำเร็จการศึกษาทางด้านวิศวกรรม และ สถาปัตยกรรม จากมหาวิทยาลัยนาลันทา มีความสามารถในการสร้างเทวรูป ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเมื่อเชื้อสายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต ร่วมกันบริจาคพระราชทรัพย์เพื่อสร้างพระแก้วมรกต เรียบร้อยแล้ว พ่อหงสาวดี(พระยาศรีจง) ผู้เป็นพระราชบิดาของพระยาศรีธรรมโศก เป็นผู้จัดหาแก้วมรกต มาส่งมอบให้กับ พระยาศรีธรรมโศก ณ วัดพระยันตระ แคว้นจันทร์บูรณ์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจรัฐ ของ อาณาจักรคามลังกา ในขณะนั้น พระยาศรีธรรมโศก จึงเริ่มสร้างพระแก้วมรกต โดยมีขุนศรีทรัพย์ เป็นผู้ช่วย จนสำเร็จเรียบร้อย จึงถูกเรียกพระนามใหม่ว่า พระวิษณุกรรมเทพบุตร เป็นราชาแห่ง แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา)
ต่อมา เจ้าพระยาศรีธรรมโศก ได้รับโปรดเกล้าให้เป็นจักรพรรดิ ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ จักรพรรดิเจ้าพระยาศรีธรรมโศก จึงได้ใช้ความรู้ทางวิศวกรรม สร้างพระราชวังหลวงขึ้นใหม่ บริเวณ วัดเวียง ในปัจจุบัน เรียกว่า พระราชวังศรีเวียงชัย เพื่อรองรับการเป็นราชธานี ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ในอนาคต
ขณะที่ จักรพรรดิเจ้าพระยาศรีธรรมโศก กำลังก่อสร้างพระราชวังศรีเวียงชัย ยังไม่สำเร็จนั้น ได้เกิดสงครามแย่งนาง และ สงครามแย่งม้า ขึ้น จึงมีผู้อพยพเข้ามายัง เมืองคันธุลี และ เมืองศรีโพธิ์ เป็นจำนวนมาก การก่อสร้างพระราชวังศรีเวียงชัย จึงต้องยุติลงชั่วคราว
ขุนศรีธรรมโศก สร้างกำแพงเมืองศรีโพธิ์ และ พระราชวังศรีเวียงชัย พ.ศ.๑๑๙๒
การสร้างความสมานฉัน ของ พระมหานาคเสนเจ้า(ตาผ้าขาวเถระรอด) เมื่อปี พ.ศ.๑๑๙๒ เป็นเหตุให้ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ต้องยอมปฏิบัติตามข้อเสนอของ สภาโพธิ และ สภาปุโรหิต ให้ปฏิบัติตามกฎมณเฑียรบาล ที่กำหนดให้ต้องปฏิบัติ จึงโปรดเกล้าให้ เจ้าพระยาศรีธรรมโศก มหาราชาผู้ปกครอง อาณาจักรชวาทวีป กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) ให้ดำรงตำแหน่ง จักรพรรดิ ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กรุงอู่ทอง ดูแล อาณาจักรชวาทวีป และ อาณาจักรมาลัยรัฐ และอาณาจักรต่างๆ ในดินแดนเกษียรสมุทร ต่อไป เมื่อปี พ.ศ.๑๑๙๒ เป็นที่มาให้ เจ้าพระยาศรีธรรมโศก ดำเนินการก่อสร้าง พระราชวังศรีเวียงชัย ขึ้นมาที่เมืองศรีโพธิ์(ไชยา) เพื่อใช้เป็นราชธานี ในอนาคต
เนื่องจาก เจ้าพระยาศรีธรรมโศก จบการศึกษาทางด้านวิศวกรรม จากมหาวิทยาลัยนาลันทา จึงพยายามสร้างพระราชวังหลวง ของ แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) ขึ้นใหม่ ตามหลักวิชาทางวิศวกรรม จากการสำรวจแนวกำแพงเมืองของแคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) ซึ่ง เจ้าพระยาศรีธรรมโศก สร้างขึ้นใหม่ จากร่องรอยของอิฐโบราณ และเสาเข็มไม้ตะเคียนทอง ของ กำแพงเมือง ที่ยังคงฝังอยู่ในพื้นดิน พบหลักฐานว่า กำแพงพระราชวังหลวง ของ แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) ซึ่งถูกออกแบบสร้างขึ้นโดย เจ้าพระยาศรีธรรมโศก นั้น เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส สร้างตามหลักวิชาวิศวกรรมโยธา
กำแพงเมือง มีแนวก่อสร้างเริ่มต้นจากบริเวณ สะพานล่อคอช้าง ใกล้กับโรงเรียนไชยาวิทยาคม ในปัจจุบัน ไปทางทิศเหนือ ไปจรด บ้านบุญใส แล้วหักเป็นมุมฉาก ไปทางทิศตะวันออก ข้ามทางรถไฟ ไปถึงบริเวณ สำนักงานไปรษณีย์ไชยา ในปัจจุบัน แล้วหักมุมฉาก ไปทางทิศใต้ ไปจรด คลองไชยา แล้วหักมุมฉากไปทางทิศตะวันตก เลียบคลองไชยา ไปยัง สะพานล่อคอช้าง อีกครั้งหนึ่ง กำแพงพระราชวังหลวง ของ แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) มีพื้นที่ประมาณ ๔ ตารางกิโลเมตร จดหมายเหตุจีนบันทึกว่า กำแพงเมืองของ ราชธานี กรุงศรีโพธิ์ ถูกสร้างโดยอิฐ มีความยาวโดยรอบประมาณ ๑๗ ลี้(ประมาณ ๘ กิโลเมตร)
เนื่องจาก จักรพรรดิเจ้าพระยาศรีธรรมโศก ได้พยายามสร้างพระราชวังหลวง ของ แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) ขึ้นมาเป็นพระราชวังขนาดใหญ่ และมีความมั่นคง แข็งแรง จึงใช้เวลาก่อสร้างพระราชวังหลวงศรีเวียงชัย และกำแพงเมือง ยาวนานกว่า ๒๐ ปี อีกทั้ง จักรพรรดิเจ้าพระยาศรีธรรมโศก ยังมีบทบาทในการช่วยเหลือ สร้างเทวรูปต่างๆ ให้กับแว่นแคว้นต่างๆ ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กรุงอู่ทอง อีกด้วย การก่อสร้างกำแพงเมืองศรีเวียงชัย ของ แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) จึงยังไม่สำเร็จสมบูรณ์ โดยเฉพาะเมื่อเกิดสงครามแย่งม้า มีผู้อพยพหนีภัยสงครามจำนวนมาก
ตำนาน สระคงคาชัย ท้องที่ ต.ทุ่ง อ.ไชยา กล่าวว่า เจ้าพระยาศรีธรรมโศก ต้องการเร่งรัดสร้างกำแพงเมือง ให้สำเร็จโดยเร็ว จึงมีความต้องการใช้ดินเหนียว และ ดินขาว เป็นจำนวนมาก เพื่อนำมาสร้างอิฐดินเผาที่เข็งแรง ด้วยการจัดให้ประชาชนประกวดการขุดสระขึ้นมา ๗ แห่ง เพื่อนำดินเหนียวมาใช้ ปรากฏว่า ชาวบ้านทุ่ง เป็นผู้ขุดสระแห่งหนึ่งด้วย เป็นผู้ได้รับชัยชนะ สระดังกล่าวจึงถูก เจ้าพระยาศรีธรรมโศก พระราชทานนามว่า สระคงคาไชย หลังจากได้รับตำแหน่งจักรพรรดิ ๑ ปี คือตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ.๑๑๙๓ เป็นต้นมา
ตำนานที่มาของชื่อ สระคงคาไชย และ บ้านทุ่ง พ.ศ.๑๑๙๓
ตำนาน สระคงคาชัย ท้องที่ ต.ทุ่ง อ.ไชยา กล่าวว่า จักรพรรดิเจ้าพระยาศรีธรรมโศก ต้องการเร่งรัดสร้างกำแพงเมืองพระราชวังศรีเวียงชัย ให้สำเร็จโดยเร็ว จึงมีความต้องการใช้ดินเหนียว และ ดินขาว เป็นจำนวนมาก เพื่อนำมาสร้างอิฐดินเผาที่เข็งแรง ด้วยการจัดให้ประชาชนประกวดการขุดสระขึ้นมา ๗ แห่ง เพื่อนำดินเหนียวมาใช้ ปรากฏว่า ชาวบ้านทุ่ง เป็นผู้ขุดสระแห่งหนึ่งด้วย เป็นผู้ได้รับชัยชนะ สระดังกล่าวจึงถูก จักรพรรดิเจ้าพระยาศรีธรรมโศก ได้พระราชทานนามว่า สระคงคาไชย ไพร่พลที่ขุดดินเหนียว ต้องใช้ช้าง ลากเลื่อนบรรทุกดินเหนียว ไปยังที่ก่อสร้าง พระราชวังศรีเวียงชัย
ส่วนดินขาว ได้จากบ้านพนมแบก ต้องลำเลียงไปยังที่ก่อสร้างพระราชวังศรีเวียงชัย ต้องนำดินเหนียว และดินขาว ผสมกันในสัดส่วนที่เหมาะสม เข้าตำผสมในครกตำข้าว เมื่อได้ผสมดีแล้ว ก็นำใส่แบบพิมพ์ นำไปเผา จะได้อิฐดินเผา ที่แข็งแรงมาก
ชัยชนะในการขุดสระคงคาชัย เพื่อจัดหาแหล่งดินเหนียว ทำให้ชาวบ้านผู้ร่วมกันขุดสระ ได้สร้างบ้านเรือนขึ้นรอบๆ สระคงคาชัย และเริ่มกลั่นเหล้ามาฉลองชัยชนะ จึงเรียกว่า บ้านทุ่ง ตั้งแต่นั้นมา เพราะมีการกลั่นเหล้า มาฉลองชัยชนะ โดยนำ ถังเหล็ก(ทุ้ง) มากลั่นเหล้า ท้องที่ดังกล่าว จึงถูกเรียกว่า บ้านทุ่ง คำว่า "ทุ่ง" ในที่นี้ หมายถึง ถังกลั่นเหล้า มิได้หมายความว่า เป็นทุ่งหญ้า หรือ ที่ดอน ตามความหมายในปัจจุบัน ชาวบ้านทุ่ง จึงมีความสามารถในการกลั่นเหล้า สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
กำเนิดชื่อ ท่าปูน พ.ศ.๑๑๙๔
เหตุการณ์หลังจากการขุดสระคงคาชัย ครั้งนั้น ทำให้ เจ้าพระยาศรีธรรมโศก มีก้อนอิฐ เพียงพอในการสร้าง กำแพงเมือง แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) แต่ยังคงขาดปูนซิเมนต์ ที่จำเป็นต้องนำมาใช้สร้างกำแพงเมือง อีกด้วย การสร้างกำแพงเมือง จึงยังไม่สำเร็จ จริง จึงมีการสร้างท่าเรือขึ้นที่ปากอ่าวศรีโพธิ์ เพื่อลำเลียงก้อนหินปูน ลงเรือนำไปผลิตปูน
ตำนานความเป็นมาของท้องที่ ท่าปูน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณ ปากอ่าวศรีโพธิ์ คือท้องที่เขตต่อระหว่าง อ.ไชยา และ อ.ท่าฉาง จ.สุราษฎร์ธานี บริเวณวัดธารน้ำร้อน ในปัจจุบัน มีเรื่องราวโดยสรุปว่า เมื่อ มหาจักรพรรดิเจ้าพระยาศรีธรรมโศก มีก้อนอิฐ เพียงพอในการสร้างกำแพงเมือง แล้ว แต่ยังคงขาดแคลนปูนซิเมนต์ ที่จำเป็นต้องนำมาใช้สร้างกำแพงเมือง จึงได้ไปสำรวจพบหินปูน บริเวณท้องที่ ภูเขาหัวแมว ตั้งอยู่บริเวณ แหลมศรีโพธิ์(ต.เขาถ่าน อ.ท่าฉาง) จึงได้จัดทำท่าเรือ เพื่อใช้ในการลำเลียงหินปูน ลงเรือที่ท่าเรือ ท่าปูน ใกล้เคียงกับ ท่าเสาธง เพื่อลำเลียงก้อนหินเพื่อนำไปสร้างปูนซิเมนต์ เรียกว่า "ท่าปูน" เป็นที่มาให้ จักรพรรดิเจ้าพระยาศรีธรรมโศก ไปควบคุมการลำเลียง ก้อนหินปูน ขนาดใหญ่ มาลงเรือ เพื่อลำเลียงมาส่งยัง เตาเผาปูน ที่สร้างไว้แล้ว ปัจจุบันเรียกว่า นาเตาปูน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ของ ทุ่งพระเมรุ ไชยา ในปัจจุบัน
ตำนาน กำเนิด บ้านหลาทึง พ.ศ.๑๑๙๕
การลำเลียง ก้อนหินปูนเพื่อสร้างกำแพงเมือง ครั้งนั้น ได้เกิดอุบัติเหตุ กับ จักรพรรดิเจ้าพระยาศรีธรรมโศก โดยถูกก้อนหินใหญ่ ทับบาดเจ็บสาหัส ที่ ท่าปูน ปากอ่าวศรีโพธิ์(ปากคลองท่าปูน) ในขณะที่กำลังเร่งรัดสร้างปูนซิเมนต์ เพื่อนำมาใช้สร้างกำแพงเมือง แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) ให้สำเร็จ เกิดเหตุการณ์ก่อนที่ ท้าวอู่ทอง จะอพยพไพร่พล มาตั้งฐานที่มั่น ที่กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) ๑ ปี ก้อนหินใหญ่ทับขา จักรพรรดิเจ้าพระยาศรีธรรมโศก ขาหักทั้งสองข้าง ต้องไปตามหมอ ที่เขาสายหมอ มาช่วยรักษา
ทหารราชองค์รักษ์ ต้องทำ เลื่อนลาก เพื่อใช้ลาก จักรพรรดิเจ้าพระยาศรีธรรมโศก มาใส่ยา ณ ที่ใส่ยา จนเกิดตำนานคำว่า ที่ลากถึง และ ที่ใส่ยา ให้กับ จักรพรรดิเจ้าพระยาศรีธรรมโศก ในช่วงเวลาดังกล่าว คือท้องที่ บ้านหลาทึง วัดหลาทึง(ลากถึง) หรือ วัดใส่ยาราม หรือ วัดไชยาราม ในปัจจุบัน พื้นที่ดังกล่าว เป็นที่มาของการเรียกชื่อท้องที่ ไชยา ในเวลาต่อมา การก่อสร้างพระราชวังศรีเวียงชัย จึงยังไม่สำเร็จ การก่อสร้างล่าช้า ท้าวอู่ทอง ต้องนำไพร่พล ช่วยก่อสร้างกำแพงพระราชวังหลวง แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) ที่คั่งค้างอยู่ จนสำเร็จ ในเวลาต่อมา
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านดอนยวน คันธุลี ท่าชนะ พ.ศ.๑๑๙๕
ผลของสงครามครั้งนั้น เมื่อ พระยาเจือง ชนะสงคราม สามารถยึดครอง อาณาจักรอ้ายลาว สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ยกทัพกลับมายัง เมืองนาคอง(เชียงราย) แคว้นเชียงแสน แห่ง อาณาจักรโยนก(เชียงแสน) พร้อมกับเปลี่ยนชื่อ อาณาจักรยวนโยนก(เชียงแสน) เป็นชื่อใหม่ เพื่อให้เกียรติแก่ บรรพชน ว่า อาณาจักรเงินยาง(เชียงแสน) อีกครั้งหนึ่ง พระยาเจือง และ พระยารุ่ง จึงได้ส่งกองทัพเข้าโจมตี ยึดครองดินแดนสุวรรณภูมิ ไปครอบครอง เป็นจำนวนมาก
แว่นแคว้นต่างๆ ของ อาณาจักรเงินยาง(เชียงแสน) ซึ่งปกครองโดย ราชวงศ์แมนสม หรือ ราชวงศ์ยวนโยนก เช่น แคว้นสวนตาล(พะเยา) , แคว้นตุมวาง(แพร่) ได้ถูกกองทัพของราชวงศ์มอญ-ทมิฬโจฬะ ยึดครองไปตั้งแต่ปี พ.ศ.๑๑๙๕ ในขณะที่เกิดสงครามทุ่งไหหิน พระยารุ่ง(ท้าวฮุ่ง) ซึ่งเป็นเชื้อสายราชวงศ์มอญ-ทมิฬโจฬะ ได้ทำการยึดครอง แคว้นสวนตาล(พะเยา) เป็นผลสำเร็จเป็นแคว้นแรก เจ้าฟ้าเฮ่ง สวรรคต ในสงคราม หลังจากนั้น กองทัพของ พระยารุ่ง(ท้าวฮุ่ง) ได้ส่งกองทัพเข้ายึดครอง แคว้นตุมวาง(แพร่) เป็นผลสำเร็จ มีการฆ่าชนชาติอ้ายไต แบบล้างเผ่าพันธุ์
เชื้อสายราชวงศ์ยวนโยนก คือ เจ้าชายฟ้าฮ่วน ได้อพยพไพร่พล ล่องแม่น้ำยม ผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา มายังปากน้ำสมุทรปราการ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ทราบข่าว จึงเสนอให้ เจ้าฟ้าฮ่วน นำเชื้อสายราชวงศ์ยวนโยนก และ ไพร่พล เดินทางไปหลบภัยสงคราม ตั้งพระราชวังประทับอยู่ที่ บ้านดอนยวน แคว้นศรีพุทธิ(คันธุลี) อาณาจักรชวาทวีป ตั้งแต่ปี พ.ศ.๑๑๙๕ เป็นต้นมา
ตามตำนาน บ้านดอนญวน ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า เมื่อ พระเจ้ากาฬดิษฐ์ ได้รับชัยชนะจากการทำสงครามยึดครองดินแดน อาณาจักรอีสานปุระ เรียบร้อยแล้ว พระยารุ่ง(ท้าวฮุ่ง) แห่ง อาณาจักรเงินยาง(เชียงแสน) ยังได้ส่งกองทัพเข้าโจมตี แว่นแคว้นต่างๆ ของ อาณาจักรเงินยาง(เชียงแสน) ที่ปกครองโดยสายราชวงศ์แมนสม อีกด้วย ชนชาติอ้ายไต จาก แคว้นญวนโยนก ฯลฯ ได้อพยพไพร่พล ลี้ภัยสงคราม ไปตั้งรกราก อยู่ในดินแดน แคว้นศรีพุทธิ(คันธุลี) ทำให้หลายท้องที่ในดินแดน แคว้นศรีพุทธิ(คันธุลี) ดั้งเดิม มีชื่อคำว่า "ญวน" เป็นจำนวนมาก
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านไทรขุนฤทธิ์ คันธุลี ท่าชนะ พ.ศ.๑๑๙๕
ผลของ สงครามแย่งนาง ครั้งนั้น เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ ของ อาณาจักรอ้ายลาว และเป็นไปตามแผนการที่ราชวงศ์มอญ-ทมิฬโจฬะ กำหนดทุกประการ ดังนั้นเมื่อเกิดสงครามขึ้นมาหลายด้าน อาณาจักรอ้ายลาว จึงขาดแคลนทหาร รักษาแว่นแคว้นต่างๆ ในการรักษา แว่นแคว้นต่างๆ ของ อาณาจักรอ้ายลาว เพราะสูญเสียทหารจากการสู้รบในสงครามแย่งนางอั่วคำ จำนวนมาก เป็นเหตุให้ พระยาเจือง เร่งเคลื่อนทัพเข้ายึดครอง แคว้นเชียงทอง(หลวงพระบาง) เป็นผลสำเร็จ แล้วแต่งตั้งให้ ขุนกันฮาง เป็นผู้ปกครอง แคว้นเชียงทอง(หลวงพระบาง)
ส่วน พระยาเจือง ได้นำกองทัพใหญ่ เดินทัพไปตามนัดหมาย เพื่อพบกับกองทัพ ของ พระเจ้ากาฬดิษฐ์ ณ แคว้นเวียงจันทร์(เชียงบาน) สามารถทำสงครามยึดครอง เมืองเวียงจันทร์ ซึ่งมีประชากร ประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ คน ได้อย่างง่ายดาย(ภายใน ๑ วัน ๑ คืน) สามารถจับเชลยศึกได้เป็นจำนวนมาก
ผลของสงครามครั้งนั้น ทำให้ เจ้าพระยาไชยฤทธิ์ มหาราชาแห่ง อาณาจักรอ้ายลาว และ พระนางสิยา มเหสี ของ เจ้าพระยาไชยฤทธิ์ สามารถหลบหนีไปได้ โดยได้อพยพมาตั้งฐานที่มั่นที่ เมืองคันธุลี สร้างพระราชวังประทับอยู่ที่ ไทรขุนฤทธิ์ ท้องที่ดังกล่าว มีประชาชนชาวลาว มาตั้งรกราก หักร้างถางพง กลายเป็นหมู่บ้าน เรียกชื่อว่า บ้านไทรขุนฤทธิ์ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
พระนางมุสิกะ ให้กำเนิด วัดถ้ำสิงขร คีรีรัฐ พ.ศ.๑๑๙๕
เมื่อ พระยาเจือง ได้นำกองทัพใหญ่ เดินทัพไปตามนัดหมาย เพื่อพบกับกองทัพ ของ พระเจ้ากาฬดิษฐ์ ณ แคว้นเวียงจันทร์(เชียงบาน) สามารถทำสงครามยึดครอง เมืองเวียงจันทร์ ซึ่งมีประชากร ประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ คน ได้อย่างง่ายดาย โดยปิดล้อมเมือง ๑ วัน ๑ คืน ก็สามารถยึดเมืองเชียงบาน ได้ จับเชลยศึกได้เป็นจำนวนมาก พระนางมุสิกะ นำไพร่พล หลบหนีไปตามลำน้ำโขง มาขึ้นฝั่งที่เมืองออกแก้ว
ที่เมืองออกแก้ว พระนางมุสิกะ มีสายราชวงศ์เป็นเครือญาติ กับ เจ้าตังเก และ เจ้าตังเกฉุน ราชวงศ์ท้าวธนูรักษ์ กรุงคันธุลี ได้จัดหาเรือสำเภา เดินทางมุ่งหน้าสู่ท่าโรงช้าง เมืองคีรีรัฐ ไปตั้งพระราชวังที่ประทับอยู่ที่ ถ้ำสิงขร เมืองคีรีรัฐ นำไพร่พล ขุดหาแร่เหล็ก ตีเหล็ก สร้างอาวุธ เพื่อเตรียมทำสงครามต่อไป
พระนางมุสิกะ สั่งเสียไว้ว่า ถ้าพระนาง สิ้นพระชนม์ไป ให้นำทรัพย์สินไปสร้างวัดถ้ำสิงขร และให้สร้างเจดีย์ เก็บพระธาตุของพระนางไว้ที่หน้าถ้ำสิงขร วัดถ้ำสิงห์ขร จึงเป็นวัดแรกที่สร้างขึ้นที่ เมืองคีรีรัฐ
ผลของสงครามแย่งนาง สงครามแย่งม้า เกิดการอพยพใหญ่เข้าสู่ เมืองศรีโพธิ์ พ.ศ.๑๑๙๖
สงครามแย่งนาง , สงครามทุ่งไหหิน และ สงครามแย่งม้า ที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง ตั้งแต่ปี พ.ศ.๑๑๙๔ นั้น เกิดขึ้นอยู่หลายระลอก ในระยะแรกๆ กองทัพของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กรุงอู่ทอง ตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ ถูกข้าศึกยึดเมืองต่างๆ โดยไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้หลากหลายเมือง ถูกกองทัพมอญ-ทมิฬโจฬะ ตีแตกพ่าย เต็มไปด้วยผู้เสียชีวิต และผู้อพยพลี้ภัยสงคราม ต่อมา เมื่อกองทัพของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ เริ่มตั้งหลักได้ กองทัพของข้าศึกมอญ-ทมิฬโจฬะ ก็เริ่มถอยร่น กลับไปตั้งหลักใหม่ ทำให้ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง มีเวลาในการจัดเตรียมกำลัง และอพยพไพร่พล ไปยังสถานที่ปลอดภัย เมื่อปี พ.ศ.๑๑๙๖ ส่งผลให้เกิดตำนานชื่อท้องที่ต่างๆ ทั่วดินแดนสุวรรณภูมิ จากผลของสงครามแย่งม้า ในสมัยนั้น รวมทั้งชื่อท้องที่ต่างๆ ในท้องที่เมืองศรีโพธิ์(ไชยา) ด้วย
สภาพของสงครามแย่งม้า เมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๑๙๖ นั้น มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ได้ขนย้ายทรัพย์สินมีค่าต่าง ๆ รวมทั้งทองคำของอู่เรือทอง อพยพไพร่พลไปตั้งหลักที่ แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) บริเวณ ภูเขาสายหมอ(ภูเขาศรีโพธิ์) ทุ่งศรีโพธิ์ อดีตที่ตั้งพระราชวังหลวง ของ แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) ดั้งเดิม โดยได้นำเรือสำเภาทอง เข้าไปจอดทอดสมอไว้บริเวณ ภูเขาศรีโพธิ์(ภูเขาสายสมอ) เพื่อรื้อฟื้นพระราชวังหลวง แคว้นศรีโพธิ์ ขึ้นใช้ อีกครั้งหนึ่ง
ต่อมา มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ได้พิจารณาเห็นว่า การตั้งพระราชวังหลวง ไว้ที่ภูเขาสายหมอ ไม่มีความเหมาะสมทางยุทธศาสตร์ ในการต่อสู้กับข้าศึกศัตรู จึงรับสั่งให้อพยพไพร่พล เข้าสู่พื้นที่ เกาะดอนขวาง ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ ๒๕ ตารางกิโลเมตร โดยใช้ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) เป็นศูนย์กลางอำนาจรัฐ เพื่อการบัญชาการ การทำสงคราม กับกองทัพของชนชาติมอญ-ทมิฬ ในเวลาต่อมา
การที่ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ใช้ เกาะดอนขวาง มาเป็นฐานที่มั่นในการทำสงครามกับ ข้าศึกศัตรู นั้น จึงเป็นที่มาให้ เมืองนครหลวง ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ต้องเปลี่ยนแปลง จาก พระราชวังหลวงคูบัว แคว้นอู่ทอง อาณาจักรอู่ทอง มาสู่ พระราชวังหลวง ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) เกาะดอนขวาง แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) อาณาจักรชวาทวีป ในเวลาต่อมา และได้พัฒนากลายเป็นที่ตั้งศูนย์กลางอำนาจรัฐ ของ สหราชอาณาจักรเสียม ในเวลาต่อมาด้วย
มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง ใช้เกาะดอนขวาง ไชยา เป็นที่ตั้งพระราชวังหลวง ปี พ.ศ.๑๑๙๖
เมื่อ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) นำเรือพระที่นั่งสำเภาทอง เข้าไปจอดทอดสมอไว้ที่ภูเขาสายสมอ แล้วเสด็จไปนมัสการ ศาลพระกฤษณะ และ รอยพระบาทพระพุทธองค์ ณ บ่อ ๗ แห่ง ถ้ำแม่นางเอ ภูเขาแม่นางเอ ของ แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) หลังจากนั้น มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง ทรงมอบหมายให้ไพร่พลส่วนหนึ่ง สร้างอู่เรือสำเภาทอง ขึ้นใหม่ บริเวณภูเขาสายสมอ(ภูเขาศรีโพธิ์) ที่เคยเป็นพระราชวังร้าง เพื่อใช้อำพรางข้าศึกว่า เป็นที่ตั้งพระราชวังหลวง และที่ประทับของ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง แต่กลับไปตั้งพระราชวังหลวง ขึ้นจริง ในพื้นที่ เกาะดอนขวาง
แท้จริง มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง ได้นำไพร่พลส่วนใหญ่ ไปสร้างพระราชวังหลวง ขึ้นจริง ณ บริเวณภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) ในท้องที่ เกาะดอนขวาง ซึ่งมีสภาพเป็นเกาะ มียุทธ์ภูมิที่เหมาะสม ยากที่ข้าศึก จะส่งกองทัพเข้ามาทำลายได้ เนื่องจาก มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง มีความเชี่ยวชาญ ในท้องที่ดังกล่าวมาตั้งแต่ สมัยเป็น พระยาพาน จึงทราบดีว่า เกาะดอนขวาง ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ ๒๕ ตารางกิโลเมตร มีความเหมาะสม ในการสร้างพระราชวังหลวง ให้เป็นฐานที่มั่น เพื่อการต่อสู้กับข้าศึก อย่างได้เปรียบ เป็นที่มาของบุคคลสำคัญ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพระราชวังหลวง ในพื้นที่เกาะดอนขวาง
บุคคลสำคัญ ที่ร่วมสร้าง พระราชวังหลวง ขึ้นมาในพื้นที่เกาะดอนขวาง ปี พ.ศ.๑๑๙๖-๑๑๙๘
ตำนาน พ่อตาดำ พ่อตาลือ พ่อตาเสือเขา และ พ่อตาโหรง ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการสร้างพระราชวังหลวง ขึ้นมารอบๆ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) เกาะดอนขวาง ในระยะเริ่มแรก และประชาชนยังคงเคารพพ่อตาเจ้าที่ ตามที่เอ่ยชื่อมา จนถึงปัจจุบัน มีเรื่องราวโดยสังเขปว่า ในขณะที่มีการสร้างพระราชวังหลวง ขึ้นมาบริเวณ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) เกาะดอนขวาง นั้น มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ได้อพยพประชาชน หมู่บ้านแขกดำ ซึ่งตั้งอยู่ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) ให้อพยพไปตั้งรกรากที่ บ้านโคกหม้อ แล้วรับ ตาลือ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการสร้างหม้อ สร้างไห ให้มาสร้างเตาเผาอิฐขึ้นมาทางทิศตะวันตก ของ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) แล้วนำ เงินไพ ไปซื้อ “นาไพ” ของชนพื้นเมืองแขกดำ พร้อมกับได้สร้าง “พลับพลา” ที่ใช้เป็นที่ประทับ ของ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ขึ้นที่ บริเวณที่ราบเหนือถ้ำ แล้วปักธงของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ขึ้นที่ยอดภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) แล้วมอบหมายให้ “นายเสือ” หรือ พระยาเสือเขา สร้างพระราชมณเฑียร เพื่อใช้เป็นที่ว่าราชการ ของ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง ขึ้นที่ เนินเขาข้างถ้ำ เพื่อใช้เป็นที่ว่าราชการ ของ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง แห่ง สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กรุงศรีโพธิ์(ไชยา)
มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ได้มีรับสั่งให้ขุนนาง และข้าราชการในพระราชวังหลวง พวกราชวงศ์ พวกเจ้าพระยา พวกพระยา พวกนางพระยา อพยพครอบครัวมาตั้งรกราก อยู่ในบริเวณ ดอนวัดนพ เกาะดอนขวาง แล้วมอบหมายให้ช่วยกัน ขุดนา ทำนา เรียกว่า นาไพ , นาพระยา , นาเทพพระยา , นาหมูดุด และ นาดอนเดา เป็นต้น แล้วยังมอบหมายให้ พระยาศรีทอง นำไพร่พลอีกส่วนหนึ่ง ไปสร้าง นาหลวง ขึ้นมาในพื้นที่เกาะดอนขวาง เพื่อมิให้เกิดการขาดแคลน เสบียงอาหาร ในอนาคต หลังจาก มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) สร้างพระราชวังหลวง ขึ้นมาบนพื้นที่เกาะดอนขวาง เรียบร้อยแล้ว สงครามแย่งม้า ระลอกที่ ๒ ก็เริ่มเกิดขึ้นใหม่ ทันที
สงครามแย่งม้า ระลอกที่ ๒ เกิดขึ้นในหลายอาณาจักร ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ พร้อมๆ กัน สงครามส่วนใหญ่ เกิดขึ้นที่ อาณาจักรอู่ทอง , อาณาจักรละโว้ และ อาณาจักรชวาทวีป โดยที่ กองทัพมอญ-ทมิฬโจฬะ ของ พระเจ้ากาฬดิษฐ์ แห่ง อาณาจักรอีสานปุระ และ พระเจ้าอนุรุธ แห่ง อาณาจักรหงสาวดี(พะโค) ใช้กองทัพข้าศึกประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ คน ร่วมกับกองทัพ ของ พระยารุ่ง(ท้าวฮุ่ง) ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ คน เข้าโจมตีแว่นแคว้น และเมืองต่างๆ ของ อาณาจักรอู่ทอง หวังที่จะยึดครองดินแดนอาณาจักรอู่ทอง ให้เป็นของชนชาติมอญ-ทมิฬโจฬะ ในเวลาอันรวดเร็ว
ในช่วงเวลาเดียวกัน สหราชอาณาจักรมหาจามปา(เวียตนาม) ของชนชาติทมิฬโจฬะ โดย อาณาจักรโจฬะบก(เขมร) ได้ทำสงครามเข้ายึดครอง อาณาจักรคามลังกา ซึ่งปกครองโดย เจ้าพระยาไกรสร หรือ ขุนโหด ซึ่งได้ย้ายแคว้นนครหลวงมาอยู่ที่ แคว้นจันทร์บูรณ์ ส่วน อาณาจักรชบาตะวันตก(สุมาตรา) กรุงโพธิ์กลิงค์บัง(ปาเล็มบัง) ได้ส่งกองทัพเข้าโจมตี แว่นแคว้น และเมืองต่างๆ ของ อาณาจักรมาลัยรัฐ อีกด้วย
ส่วน อาณาจักรทมิฬโจฬะอาเจ๊ะ หรือ อาณาจักรผัวหมา(พม่า) ซึ่งมาตั้งรัฐใหม่ บริเวณ ภูเขาพระนารายณ์(พังงา) ได้ยกกองทัพบก เข้าโจมตี ดินแดนต่างๆ ของ อาณาจักรชวาทวีป ขณะนั้น มีเพียง ๔ อาณาจักรของชนชาติอ้ายไต แห่ง สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ที่ไม่เกิดสงครามในขณะนั้น คือ อาณาจักรโกสมพี(แสนหวี) , อาณาจักรพิง(ฝาง) , อาณาจักรศรีชาติตาลู(ปยู) และ อาณาจักรไทยอาหม เท่านั้น
ตำนานพ่อตาเจ้าที่ ในท้องที่ เกาะดอนขวาง ต.เลม็ด อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน เช่น พ่อตาดำ , พ่อตาลือ , พ่อตาพระยาเสือเขา , พ่อตาพร , พ่อตาพัน , พ่อตาหาร , พ่อตาบันใหญ่ , พ่อตาทุ่งใหญ่ , พ่อตาลาวสูง , พ่อตาพระยามาลี , พ่อตาพระยากรีจักร และ พ่อตาศรีทอง เป็นต้น ซึ่งยังมีประชาชนให้การเคารพบูชา บวงสรวงเซ่นไหว้ สืบทอดต่อเนื่อง มาจนถึงปัจจุบัน ล้วนเป็นเรื่องราวที่สะท้อน เรื่องราวการสร้างเมืองนครหลวงแห่งใหม่ ก่อนที่จะก่อกำเนิด สหราชอาณาจักรศรีโพธิ์ ขึ้นมาในดินแดนสุวรรณภูมิ แทนที่ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ในที่นี้ จะนำมากล่าว โดยสังเขป ดังนี้คือ
ตำนานพ่อตาดำ ผู้รักษา ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) เกาะดอนขวาง เมืองศรีโพธิ์(ไชยา)
ตำนาน พ่อตาดำ ซึ่งประชาชนนิยมบวงสรวงเซ่นไหว้ บริเวณ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) มีเรื่องราวโดยสรุปว่า ตาดำ คือชนพื้นเมือง แขกดำ ที่ตั้งรกรากอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิ และถูกพายุพัด ให้ครอบครัว ตาดำ ต้องมาตั้งรกรากในดินแดนพื้นที่ เกาะดอนขวาง เป็นครอบครัวแรก จนกลายเป็นหมู่บ้านแขกดำ ในเวลาต่อมา ตาดำ ได้ตายไป และได้เกิดใหม่ มาหลายภพชาติ
จนกระทั่งภพชาติหนึ่ง ตาดำ ได้เกิดมา ในขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จมายัง ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) ตาดำจึงได้เข้ามาเฝ้าถวายภัตตาหาร แด่พระพุทธเจ้า ซึ่งได้เสด็จมาประทับอยู่บนยอด ภูเขาสุวรรณคีรี พระพุทธองค์ได้ทำนายว่า ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) จะกลายเป็นศูนย์กลางเผยแพร่พระพุทธศาสนา ในดินแดนสุวรรณภูมิ ต่อไปในอนาคต จึงขอให้ ตาดำ รักษา ภูเขาสุวรรณคีรี ให้ดี อย่าให้ใครมาครอบครอง ดังนั้นเมื่อ ตาดำ ตายไป วิญญาณของตาดำ จึงเฝ้ารักษา ภูเขาสุวรรณคีรี อยู่ที่ ถ้ำตาดำ(ถ้ำเล็ก) ตามที่พระพุทธเจ้า เคยตรัสไว้
เมื่อมหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ได้ตัดสินพระทัย ใช้ เกาะดอนขวาง เป็นที่ตั้งศูนย์กลางอำนาจรัฐ ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ และได้อพยพไพร่พล มาสร้างพระราชวังหลวง ขึ้นมาบริเวณ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) คืนแรก มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ได้มานอนหลับ อยู่ในถ้ำ พ่อตาดำ จึงถูกพ่อตาดำไปเข้าฝัน และขับไล่ให้ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ออกไปจากบริเวณ ภูเขาสุวรรณคีรี อ้างว่า พ่อตาดำ ต้องรักษา ภูเขาสุวรรณคีรี ไว้ให้ผู้มีบุญ มาสร้างภูเขาให้เป็นศูนย์กลางเผยแพร่พระพุทธศาสนา ในอนาคต
เหตุการณ์ดังกล่าว จึงเป็นที่มาให้ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ได้ทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ ดวงวิญญาณ พ่อตาดำ เพื่อขออนุญาตใช้ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) เป็นศูนย์กลางเผยแพร่พระพุทธศาสนา ในวันถัดมา และกลายเป็นประเพณี บวงสรวงเซ่นไหว้ พ่อตาดำ บริเวณ ถ้ำตาดำ(ถ้ำเล็ก) ทางทิศตะวันตก ของ ภูเขาสุวรรณคีรี สืบทอดเรื่อยมา จนถึงปัจจุบัน
ตำนาน พ่อตาพ่อท่านบันใหญ่ ผู้รักษาทรัพย์สินที่ ภูเขาสุวรรณคีรี
ขณะที่ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง อพยพมาประทับที่ ภูเขาสุวรรณคีรี ใหม่ๆ มีพระภิกษุองค์หนึ่งแก่มากแล้ว ถือบันตำหมากใหญ่ หนีภัยสงครามมาเหมือนกัน มองเห็นบนยอดภูเขาสุวรรณคีรี มีธงสีย้อมผ้าหมาก ปักอยู่บนยอดเขา คิดว่าเป็นที่ตั้งสำนักสงฆ์ เมื่อเดินทางมาถึงภูเขา ก็พบกับท้าวอู่ทอง ก็คิดจะกลับเพราะมิได้เป็นสำนักสงฆ์ แต่ทางท้าวอู่ทอง ได้นิมนต์ถวายภัตตาหาร นิมนต์ให้ปักกลดธุดงค์ อยู่ที่ถ้ำยอดปล่อง ของ ภูเขาสุวรรณคีรี
ที่ถ้ำยอดปล่อง ท้าวอู่ทอง ได้นำทรัพย์สินมีค่าไปเก็บรักษาไว้จำนวนมาก ท้าวอู่ทอง รับสั่งให้สาวสนมกรมวัง นำภัตตาหาร ไปถวายแก่พ่อท่านบันใหญ่ เป็นประจำทุกวัน จนกระทั่งพ่อท่านบันใหญ่ มรณภาพ ภายในถ้ำยอดปล่อง โดยร่างกายไม่เน่าเปื่อย ท้าวอู่ทอง ได้ขอให้ดวงวิญญาณ ของ หลวงพ่อท่าบันใหญ่ ทำการรักษาทรัพย์สิน มิให้สูญหาย ดวงวิญญาณพ่อท่านบันใหญ่ สำนึกในบุญคุณ ของ ท้าวอู่ทอง ดวงวิญญาณ จึงเฝ้ารักษาทรัพย์สินที่ภูเขาสุวรรณคีรี เรื่อยมา
ประชาชนเล่ากันว่า ผู้ที่มาทุบต่อยก้อนหิน หรือตัดต้นไม้ ที่ภูเขาสุวรรณคีรี เพื่อนำไปก่อสร้าง จะต้องขอจากดวงวิญญาณพ่อท่านบันใหญ่ ทุกๆ ปี ประชาชนที่ตั้งรกรากอยู่รอบๆ ภูเขาสุวรรณคีรี จะทำพิธีบวงสรวงเซ่นไว้ เป็นประจำทุกปี สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ตำนานพ่อตาลือ ช่างฝีมือสร้างหม้อ ไห และ สร้างอิฐดินเผา เมืองศรีโพธิ์(ไชยา) พ.ศ.๑๑๙๖
ตำนาน พ่อตาลือ ซึ่งประชาชนนิยมบวงสรวงเซ่นไหว้ บริเวณ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) และ บริเวณบ้านโคกหม้อ มีเรื่องราวโดยสรุปว่า ตาลือ สืบสายสกุลมาจากสายตระกูล พ่อตาดำ ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ บ้านแขกดำ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของ ภูเขาสุวรรณคีรี ต้นตระกูล ของ ตาลือ ได้รับการฝึกฝีมือทำหม้อไหดินเผาจาก เจ้าหาญคำ(พระเจ้าสุมิตร) ให้สามารถผลิตเครื่องปั้นดินเผา ประเภทหม้อ และไห มาใช้ในเมืองศรีโพธิ์(ไชยา) ยาวนานมาแล้ว จนกระทั่งได้ไปสร้างโรงงานผลิตหม้อ-ไห ที่บ้านโคกหม้อ(บริเวณชุมสายโทรศัพท์ อ.ไชยา) สืบทอดวงศ์ตระกูลมาจนถึง ตาลือ ซึ่งเป็นสมัยที่ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง มาใช้พื้นที่ เกาะดอนขวาง เป็นที่ตั้งศูนย์กลางอำนาจรัฐ ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กรุงศรีโพธิ์(ไชยา)
โดยที่ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) มอบหมายให้ขุนนางต่างๆ ออกไปประกาศป่าวร้องสืบหาผู้ที่มีฝีมือในการผลิตเครื่องปั้นดินเผา มารับราชการ จนกระทั่งสืบทราบว่า ตาลือ มีฝีมือสูงสุดในเมืองศรีโพธิ์ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง จึงได้รับ ตาลือ จากบ้านโคกหม้อ มารับราชการที่ เกาะดอนขวาง และให้สร้างเตาเผาอิฐ ขึ้นมาในพื้นที่ บริเวณ ทิศเหนือ ของ ภูเขาสุวรรณคีรี สามารถผลิตอิฐ และเครื่องปั้นดินเผาอื่นๆ ตามที่มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง มอบหมายจนสำเร็จ
เมื่อ ตาลือ เสียชีวิตไป ดวงวิญญาณ ของ ตาลือ ก็ยังคงพยายามรักษา อิฐโบราณ ที่มีอยู่ในบริเวณ ภูเขาสุวรรณคีรี ประชาชนที่ไปงัดเอาก้อนอิฐโบราณ บริเวณโบราณสถาน ภูเขาสุวรรณคีรี ไปใช้ประโยชน์ จะต้องบวงสรวงเซ่นไหว้ ขอจาก พ่อตาลือ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
พ่อตาเสือเขา ผู้สร้างกำแพงหินรอบวังหลวง ผู้ควบคุมโซ่เหล็ก ปากอ่าวศรีโพธิ์ พ.ศ.๑๑๙๖
ตำนาน พ่อตาเสือเขา ซึ่งประชาชนนิยมบวงสรวงเซ่นไหว้ บริเวณหน้าถ้ำ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) มีเรื่องราวโดยสังเขปว่า พระยาเสือ เป็นนายทหารองค์รักษ์ ของมหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ได้มาร่วมสร้างพระราชวังหลวงขึ้นมาใหม่ บริเวณภูเขาสุวรรณคีรี เกาะดอนขวาง พระยาเสือเขา ได้รับมอบหมายจาก มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง ให้นำไพร่พล มาร่วมกันขุดสระน้ำ ขึ้นมา ในบริเวณใกล้เนินเขาหน้าถ้ำ เพื่อเป็นสระเก็บกักน้ำพุร้อน ซึ่งเป็นน้ำแร่ธรรมชาติ มาใช้สรงน้ำ ของ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง และพวกราชวงศ์ เป็นประจำทุกวัน
พระยาเสือ ได้นำไพร่พลปรับเนินเขา โดยการนำก้อนหิน มาสกัดตกแต่ง เพื่อสร้างพลับพลาที่ประทับ และสร้าง พระราชมณเฑียร ที่ว่าราชการของ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) บริเวณ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) จนสำเร็จ และได้สร้างกำแพงหิน รอบที่ตั้งพระราชวังหลวง ในพื้นที่ เกาะดอนขวาง จนสำเร็จ ในเวลาต่อมา จึงเป็นที่มาให้ พระยาเสือ ถูกมหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) พระราชทานชื่อใหม่ว่า พระยาเสือเขา
ต่อมา พระยาเสือเขา ยังได้รับมอบหมายจาก มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ให้ร่วมกับ พระยายมบา ให้ร่วมกันทำการสร้างโซ่เหล็ก และ เครื่องจักร เพื่อใช้ควบคุมการเข้าออกของเรือสำเภา บริเวณ ปากอ่าวศรีโพธิ์(ปากคลองท่าปูน) และกลายเป็นผู้ควบคุมเครื่องจักร เพื่อควบคุมการยกขึ้นลง ของ โซ่เหล็ก ณ ปากอ่าวศรีโพธิ์ เพื่อการเข้าออกของเรือสำเภา ในการเดินทางเข้ามายัง อ่าวศรีโพธิ์(ปากคลองท่าปูน) ในเวลาต่อมา
แต่ต่อมา พระยาเสือเขา ได้กระทำความผิด โดยมิได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ในการปิดเปิดอ่าว ให้เรือสำเภาเข้าออก ตามที่กำหนด ในสมัยที่เกิด สงครามแย่งช้าง ทำให้ พระเจ้ามังกูร่า มหาราชา แห่ง อาณาจักรชบาตะวันตก(สุมาตรา) กรุงโพธิ์กลิงค์บัง(ปาเล็มบัง) สามารถนำเรือสำเภา เข้ามายังอ่าวศรีโพธิ์ได้ พระยาเสือเขา จึงต้องโทษ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) นำไปตัดศีรษะ ณ บริเวณหน้าถ้ำ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) จึงถูกประชาชนเรียกชื่อว่า พ่อตาเสือเขา หรือ พ่อตาหน้าผา ซึ่งมีการบวงสรวงเซ่นไหว้ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ตำนานพ่อตาสำโรง วิศวกรโยธา ผู้ปลูกสร้างอาคารต่างๆ พ.ศ.๑๑๙๖
ตำนาน พ่อตาสำโรง หรือ พ่อตาโหรง หรือ พ่อตาปะหมา(ปากมาก) หรือ พ่อตาปะหมอ(ปากหมอ) หรือ พ่อตาปะหมัน(ปากมัน) ซึ่งประชาชนเรียกกันหลายชื่อ และนิยมบวงสรวงเซ่นไหว้ บริเวณต้นสำโรง ซึ่งเป็นที่ตั้งหลักเมือง แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) ของ เจ้าพระยาศรีธรรมโศก ซึ่งเมื่อคณะมโนราห์ หรือ คณะหนังตะลุง เดินทางผ่านมา ต้องบวงสรวงเซ่นไหว้ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
มีเรื่องราวเกี่ยวกับ พ่อตาสำโรง กล่าวโดยสรุปว่า เดิมที พระยาสำโรง เป็นขุนนาง ของ เจ้าพระยาศรีจง เป็นผู้นำไพร่พล สร้างป้อมปราการ ขึ้นที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อต่อสู้กับข้าศึกมอญ-ทมิฬโจฬะ ต่อมา พระยาสำโรง ได้รับการโปรดเกล้าให้เป็นผู้ปกครอง เมืองสำโรง สมุทรปราการ จนกระทั่ง เกิดศึก สงครามบางพลี ซึ่งข้าศึกมอญ-ทมิฬโจฬะ เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ สงครามบางพลี บาดเจ็บล้มตายไปหลายหมื่นคน ภายหลังสงครามบางพลี ณ เมืองสำโรง เจ้าพระยาศรีจง จึงได้ส่ง พระยาสำโรง ให้เดินทางไปช่วยงาน เจ้าพระยาศรีธรรมโศก ซึ่งเป็นพระราชโอรส ที่แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา)
เมื่อ พระยาสำโรง เดินทางมาเป็นขุนนาง ของ จักรพรรดิเจ้าพระยาศรีธรรมโศก ก็ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการจัดหาวัสดุการก่อสร้าง และควบคุมการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน ในดินแดน แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) ให้เป็นไปตามที่กฎหมาย กำหนด พระยาสำโรง มีปัญหาในการสื่อสาร กับประชาชนในท้องถิ่นภาคใต้ ซึ่งสื่อสารกันไม่ค่อยเข้าใจ เพราะคนใต้พูดเร็ว และตัดคำ ต่อมาเมื่อ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) มาใช้ เกาะดอนขวาง เป็นศูนย์กลางอำนาจรัฐ ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ จึงมีการสร้างพระราชวังหลวง ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ขึ้นมาบริเวณ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) จึงเป็นที่มาให้ จักรพรรดิเจ้าพระยาศรีธรรมโศก ส่ง พระยาสำโรง และไพร่พล ไปช่วยเหลือ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง สร้างพระราชวังหลวง ทำให้เกิดปัญหาในการสื่อสาร กับ ประชาชนในท้องถิ่นภาคใต้ หนักเพิ่มขึ้นไปอีก
เนื่องจาก พระยาสำโรง ได้รับมอบหมาย ให้นำไพร่พลไปจัดหาก้อนหิน มาส่งมอบให้กับ พระยาเสือ เพื่อใช้สร้างเป็นกำแพงพระราชวังหลวง จึงได้นำไพร่พล ไปจัดหาก้อนหิน ในบริเวณท้องที่ ต.ปากหมาก อ.ไชยา ในปัจจุบัน เพื่อลำเลียงมาสร้างกำแพงพระราชวังหลวง ให้สำเร็จตามหมายกำหนด เป็นที่มาให้ พระยาสำโรง ต้องเร่งรัดไพร่พล และเกณฑ์ไพร่พล เพื่อมาร่วมกันปฏิบัติงานมากขึ้น พระยาสำโรง จึงต้องพูดเพื่อการสั่งการงานต่างๆ มาก และขุมขู่จะลงโทษไพร่พล ผู้ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ซึ่งเป็นที่มาให้ประชาชนเรียกชื่อ พระยาสำโรง ในชื่อใหม่ในภาษาท้องถิ่นภาคใต้ ว่า พระยาปะหมา(พระยาปากมาก) และ พระยาปะหมอ(พระยาปากหมอ) หมายถึงพูดจาเป็นคนหัวหมอ ไม่ยอมประนีประนอม จึงเป็นที่มาให้ พระยาสำโรง พูดจาด่ากลับ ประชาชนผู้ชอบพูดจาเสียดสี ว่า ผู้พูดคือ ปะหมัน(ปากมัน) หมายถึง ปากของประชาชนผู้พูด ซึ่งเป็นที่มาให้ มีการเรียกชื่อท้องที่ ต.ปากหมาก ในท้องที่ อ.ไชยา ว่า ที่ปะหมา(ปากมาก) และเพี้ยนเป็น ปากหมาก สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ต่อมา เมื่อมีการสร้างพระราชวังหลวง ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ บริเวณรอบๆ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) เกาะดอนขวาง สำเร็จเรียบร้อย พระยาสำโรง จึงกลับไปรับราชการ กับ จักรพรรดิเจ้าพระยาศรีธรรมโศก ตามเดิม เมื่อ พระยาสำโรง เสียชีวิต ก็นำอัฐิไปบรรจุไว้ที่ศาลหลักเมือง แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) พร้อมกับปลูกต้นสำโรง ไว้ให้ดวงวิญญาณ พระยาสำโรง มีที่สิงสถิตย์ ทำให้ คณะมโนราห์ หรือ หนังตะลุง ที่เดินทางผ่าน ต้นสำโรงดังกล่าว ต้องเคารพ กราบไว้ สืบทอดต่อเนื่องกันมา ทั้งนี้เพราะ พระยาสำโรง เป็นผู้สร้างโรงมโนราห์ และ โรงหนังตะลุง ให้กับ คณะมโนราห์ และ หนังตะลุง มาตั้งแต่ดั้งเดิม
เมื่อ มีการพบจารึกหลักที่ ๒๓ บริเวณต้นสำโรงดังกล่าว พร้อมกับนำกลับมาเก็บรักษาที่ กรุงเทพฯ ต้นสำโรงที่ศาลหลักเมือง แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) ดั้งเดิม ถูกไฟไหม้ ทั้งต้น วิญญาณพ่อตาสำโรง จึงไปสิงสถิต์อยู่ที่ ต้นสำโรง ทางทิศตะวันตก ของ ภูเขาสุวรรณคีรี และเป็นที่กราบไว้ ของ ประชาชน สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ต่อมามีการสร้างศาลพ่อตาสำโรง ขึ้นที่ บริเวณต้นสำโรง ที่ถูกไฟไหม้ บริเวณสามแยกวัดเวียง เรียกว่า ศาลพ่อตาปะหมอ-ปะหมัน ในปัจจุบัน ด้วย
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านใหญ่ คันธุลี ท่าชนะ พ.ศ.๑๑๙๖
ตำนานท้องที่ บ้านใหญ่ ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า เจ้าพระยาศรีทรัพย์(ขุนชวา) ได้อพยพไพร่พลจาก เมืองปะถม(นครปฐม) กลับไปตั้งรกรากที่ วัดศรีราชัน แคว้นศรีพุทธิ(คันธุลี) โดยได้ไปอาศัยอยู่กับพระราชมารดา ของ เจ้าพระยาศรีทรัพย์(ขุนชวา) คือ หม่อมสุรณี หรือ หม่อมจอมศรี(จอศรี) ส่วน เมืองปะถม และ พระบรมธาตุปะถมเจดีย์ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ได้มอบให้ เจ้าพระยาจักรนารายณ์ รักษาเมืองไว้ชั่วคราว ทั้งนี้เพื่อรอให้ เจ้าพระยาศรีทรัพย์(ขุนชวา) ได้ไปตระเตรียมไพร่พล และเสบียงอาหาร ให้เพียงพอ เพื่อเตรียมการทำสงครามใหญ่ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในอนาคต อันใกล้
ต่อมา เจ้าพระยาศรีทรัพย์(ขุนชวา) ได้อพยพไพร่พลไปตั้งรกรากในบริเวณ บ้านใหญ่ ใกล้กับ ภูเขาจอมศรี(จอศรี) ซึ่งเป็นพระราชวังที่ประทับ ของ หม่อมสุรณี(หม่อมจอมศรี) และได้ไปตั้งกองทัพอยู่ที่ เมืองเพลา บริเวณภูเขาเพลา เพื่อสกัดกั้นกองทัพชนชาติทมิฬโจฬะ อาณาจักรผัวหมา(พม่า) ซึ่งได้เข้ามารื้อฟื้นอาณาจักร ขึ้นใหม่ ณ บริเวณภูเขาพระนารายณ์ แคว้นพังงา
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านนาเกลือ ท่าชนะ พ.ศ.๑๑๙๖
ในขณะที่มีข้าศึกมอญ-ทมิฬโจฬะ ยกกองทัพเข้าโจมตี แคว้นนาลองกา(ทับสระแก) นั้น มีประชาชนกลุ่มผู้ทำนาเกลือ ส่วนหนึ่ง ต้องลี้ภัยสงคราม อพยพไปตั้งรกรากทำนาเกลือในบริเวณ บ้านนาเกลือ เมืองคลองวัง(บ้านนาเกลือ ต.วัง อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี) แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) เจ้าพระยาศรีธรรมโศก ได้เรียกประชาชนผู้อพยพจาก แคว้นนาลองกา ที่ไปตั้งรกรากในท้องที่ใหม่ ว่า "พวกนาลี้กา" ซึ่งหมายถึง ชาวนาเกลือผู้อพยพลี้ภัยสงครามข้าศึกมอญ-ทมิฬ ผู้อพยพกลุ่มนี้ เป็นผู้สร้าง นาฬิกาแดด มาใช้ในการนับเวลา จึงเป็นที่มาของคำไทยที่ว่า "นาฬิกา" หมายถึงเครื่องมือในการจับเวลา ในเวลาต่อมา ด้วย
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านท่าโพธิ์ พ.ศ.๑๑๙๖
ตำนานความเป็นมา ของ บ้านท่าโพธิ์ และ วัดประสบ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวถึงความเป็นมาของการก่อกำเนิด บ้านท่าโพธิ์ และ วัดประสบ เป็นผลของการอพยพหนีภัยสงครามแย่งม้า กล่าวโดยสรุปว่า เมื่อเมืองเก่าหลายเมือง ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กรุงอู่ทอง ถูกกองทัพมอญ-ทมิฬโจฬะ ตีแตกพ่าย มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) จึงมีรับสั่ง ให้กลุ่มไพร่พลเมืองเก่า อพยพไพร่พลไปรวมตัวกัน ณ แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) ในบริเวณที่นัดประสบพบกัน คือพื้นที่ บริเวณ วัดประสบ ในปัจจุบัน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสี่แยกท่าโพธิ์ เป็นจุดนัดพบที่ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง มีรับสั่งให้พวกเจ้าเมืองเก่าทั้งหลาย ที่อพยพหนีภัยสงคราม ให้นำเรือมาจอดทอดสมอ ที่ท่าเรือ แล้วร่วมกันปลูกต้นโพธิ์ เรียกชื่อว่า บ้านท่าโพธิ์ แล้วให้ไปรวมตัวกันในบริเวณสถานที่นัดพบ ที่วัดประสบ ดังกล่าว
ต่อมาสถานที่ดังกล่าว กลุ่มไพร่พลผู้อพยพเมืองเก่า บ้านท่าโพธิ์ ร่วมกับพระภิกษุ ได้ร่วมกันสร้าง ที่เพล ให้เป็นจุดนัดพบกัน และเมื่อได้มีการจัดให้มีที่อยู่ ของ แต่ละครอบครัว ขึ้นอย่างเรียบร้อย กลุ่มไพร่พลของเมืองเก่าที่เดินทางอพยพหลบภัยสงคราม จึงได้จัดให้บริเวณ ที่เพล ดังกล่าว ถูกสร้างขึ้นเป็น วัดแห่งแรก ของ แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) และถือว่า เป็นวัดที่ ๒ ในดินแดนอาณาจักรชวาทวีป คือ วัดประสบ ใน อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบันนั่นเอง
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านปากท่อ พ.ศ.๑๑๙๖
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านโมถ่าย พ.ศ.๑๑๙๖
ผลของสงครามแย่งนางอั่วคำ สงครามทุ่งไหหิน และ สงครามแย่งม้า ส่งผลให้มีผู้อพยพหนีภัยสงครามมาที่ กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) จำนวนมาก ต้องสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ ต้องจัดหาเสบียงอาหารให้เพียงพอในการดำรงชีวิต ขาดแคลนเครื่องนุ่งห่ม และ ยารักษาโรค ยิ่งมีประชากรจำนวนมาก โรคระบาดก็เกิดขึ้นง่าย
ท้าวอู่ทอง เกรงว่าจะเกิดโรคระบาดในเมืองศรีโพธิ์(ไชยา) เพราะพบว่า มีประชาชนส่วนหนึ่ง ถ่ายอุจจาระ โดยไม่ขุดหลุมฝังกลบ แม้ว่ามีคำสั่งไปแล้วให้ผู้อพยพ ต้องขุดหลุมฝังกลบอุจจาระ แต่มีประชาชนส่วนหนึ่งไม่ยอมขุดหลุมฝังกลบเวลาถ่ายอุจจาระ เรียกว่า พวกโม่(โง่)ถ่าย มีความหมายว่า พวกที่ไม่เข้าใจว่าถ้าไม่ฝังกลบอุจจาระ เวลาถ่าย จะเกิดโรคระบาด จึงสั่งอพยพบุคคลที่โม่ถ่าย ให้ไปตั้งรกรากในพื้นที่ห่างไกล เรียกว่า บ้านโม่ถ่าย และเพี้ยนในเวลาต่อมาว่า บ้านโมถ่าย สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านสามศักดิ์ พ.ศ.๑๑๙๖
ขณะที่เกิดสงครามแย่งม้า ส่งผลให้มีเชื้อสายราชวงศ์ มีฐานันดรศักดิ์ อพยพหนีภัยสงครามมาที่ กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) จำนวนหนึ่ง มีเชื้อเจ้า ๓ พี่น้อง อาสานำไพร่พลไปสร้างบ้านแปลงเมืองทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของ ทุ่งศรีโพธิ์ ก่อนถึงภูเขาลูกยาง จนกลายเป็นบ้านเมือง จึงถูกเรียกชื่อว่า บ้านสามศักดิ์ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านดอนเอ็ด พ.ศ.๑๑๙๖
ตามตำนาน บ้านท่าดอนร้อยเอ็ด(ดอนเอ็ด อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี) และ วัดโรงหงส์ หรือ วัดสโมสร กล่าวว่า เมื่อข้าศึกมอญ-ทมิฬโจฬะ ยกกองทัพเข้าโจมตี เมืองร้อยเอ็ด หรือ เมืองสาเกตุ และเมืองอื่นๆ เมืองต่างๆ ดังกล่าว เจ้าเมืองต่างๆ ไม่ทันตระเตรียมกำลังทหารเพื่อรักษาเมือง จึงถูกข้าศึกมอญ-ทมิฬโจฬะ เข้าโจมตี แตกพ่ายโดยง่าย ในขณะที่เมืองร้อยเอ็ด ถูกโจมตี ทหารส่วนหนึ่งได้ออกต่อสู้กับกองทัพมอญ-ทมิฬโจฬะ เพื่อให้ไพร่พลส่วนหนึ่งสามารถอพยพออกไปยังดินแดนอื่นๆ ไพร่พลเมืองร้อยเอ็ด บางส่วน ได้หลบหนีไปตั้งรกรากอยู่ในท้องที่แห่งหนึ่ง ต่อมา จึงมีชื่อเรียกว่า ศรีสระเกตุ คือท้องที่ จ.ศีรษะเกตุ ในปัจจุบัน นั่นเอง
ส่วนไพร่พลอีกส่วนหนึ่ง ได้อพยพไปตั้งรกราก ที่ แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) บริเวณ ท่าดอนร้อยเอ็ด ท้องที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน และต่อมา ไพร่พลกลุ่มเมืองร้อยเอ็ด-เจ็ดเมือง ได้ไปรวมตัวกันที่ โรงนกหงส์ ใช้เป็นสโมสร ปรึกษาหารือ ร่วมกัน และได้สร้างวัดขึ้นมา ในบริเวณพื้นที่ สโมสร เรียกว่า วัดสโมสร สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ตำนานที่มาของ การกำเนิด วัดสโมสร พ.ศ.๑๑๙๖
ตำนาน วัดโรงหงส์ หรือ วัดสโมสร กล่าวว่า เมื่อข้าศึกมอญ-ทมิฬโจฬะ ยกกองทัพเข้าโจมตี เมืองร้อยเอ็ด หรือ เมืองสาเกตุ และเมืองอื่นๆ เมืองต่างๆ ดังกล่าว เจ้าเมืองต่างๆ ไม่ทันตระเตรียมกำลังทหารเพื่อรักษาเมือง จึงถูกข้าศึกมอญ-ทมิฬโจฬะ เข้าโจมตี แตกพ่าย ไพร่พลเมืองร้อยเอ็ด บางส่วน ได้หลบหนีไปตั้งรกรากที่เมืองศรีโพธิ์(ไชยา) อยู่ในท้องที่แห่งหนึ่ง มีชื่อเรียกว่า ท่าดอนร้อยเอ็ด หรือ บ้านดอนเอ็ด ในปัจจุบัน นั่นเอง
ประชาชนที่ บ้านท่าดอนร้อยเอ็ด ท้องที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน ได้นำไพร่พลกลุ่มเมืองร้อยเอ็ด-เจ็ดเมือง ได้ไปรวมตัวกันที่ โรงนกหงส์ ใช้เป็นสโมสร ปรึกษาหารือ ร่วมกัน และนิมนต์พระภิกษุ ที่อพยพมาด้วย ให้มาฉันอาหารที่ โรงหงส์ และได้สร้างวัดขึ้นมา ในบริเวณพื้นที่โรงหงส์ หรือ โรงสโมสร จึงเรียกชื่อว่า วัดสโมสร สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ตำนานที่มาของชื่อ เส้นทางสายศรีวิชัย พ.ศ.๑๑๙๖
จักรพรรดิเจ้าพระยาศรีธรรมโศก ได้ส่ง เจ้าชายศรีวิชัย ซึ่งเป็นพระราชโอรส ให้นำไพร่พล ไปร่วมสร้างเส้นทางระหว่าง พระราชวังหลวง ของ แคว้นศรีโพธิ์ บริเวณวัดเวียงในปัจจุบัน มายัง ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) ซึ่งเป็นที่ตั้งพระราชวังหลวง ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ บริเวณเกาะดอนขวาง ร่วมกับ พระยาศรีทอง เป็นผลสำเร็จ อีกด้วย
เส้นทางสายนี้ เดิมเรียกว่า เส้นทางสายศรีวิชัย (ปัจจุบันถูกตั้งชื่อใหม่ เรียกว่า ถนนสันติมิตร) เริ่มต้นจากบริเวณ สามแยกวัดเวียง ตรงไปยังพระราชวังหลวง ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ โดยอ้อมโค้ง พระราชวังหลวง ไปทางทิศตะวันออก ของ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) ไปจดกับ เส้นทางสายตาหาร เป็นผลสำเร็จ
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านป่าเว พ.ศ.๑๑๙๖
หลังสงครามแย่งม้า มีผู้อพยพมาที่กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) จำนวนมาก ท้าวอู่ทอง จึงมีดำหริว่า คู่สมรสที่เพิ่งแต่งงาน ให้อพยพไปสร้างบ้านแปลงเมืองที่ป่าเว โดยท้าวอู่ทอง มอบให้ พระยาเวียงชัย เสนาบดีกระทรวงเวียง ไปจัดแบ่งที่ดินให้ จึงมีคู่สมรสจำนวนมากอาสาสมัครไปสร้างบ้านแปลงเมืองที่ป่าเว
กล่าวกันว่า คู่สามีภรรยา รักใคร่กันมาก เมื่อมีบุตรธิดา เมื่อสามีไปทำงาน ฝ่ายภรรยาจะคอย เวเปล กล่อมลูก และเมื่อฝ่ายภรรยา ไปทำงาน ฝ่ายสามี ก็จะคอยเวเปล กล่อมลูก เมื่อมีคนไปเยี่ยมเยียน ก็จะพบเห็นการเวเปล กล่อมลูก เป็นประจำ จึงเรียกท้องที่ดังกล่าวว่า ป่าเวเปล และถูกเรียกชื่อสั้นขึ้นตามประเพณีภาคใต้ว่า ป่าเว เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านทัพหมัน พ.ศ.๑๑๙๖
แม่ทัพหมัน หรือ แม่ทัพพระยาหมัน เป็นแม่ทัพคนหนึ่ง ของ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) เคยเป็นแม่ทัพ คนสำคัญ ตั้งแต่สมัย สงคราม พระยากง-พระยาพาน จนกระทั่งเมื่อเกิดสงครามต่างๆ คือ สงครามแย่งนาง , สงครามทุ่งไหหิน , สงครามแย่งม้า และ สงครามแย่งช้าง ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเกิดสงครามแย่งม้า แม่ทัพหมัน ได้นำกองทัพของตนเอง มาตั้งทัพอยู่ที่ บ้านเหมือง แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) แล้วมาสร้างบ้านพักอยู่ที่ บ้านทัพหมัน และ บ้านหนัง ซึ่งเป็นที่ตั้ง โรงอาหาร ของ กองทัพแม่ทัพหมัน เมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๑๙๖ เพื่อทำหน้าที่ ป้องกันรักษา แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) และทำหน้าที่ พัฒนาแคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) ให้เป็นแคว้นนครหลวง ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ
แม่ทัพหมัน มีภรรยา หลายคน จึงมีลูกหลานเป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่มาให้ลูกหลานของแม่ทัพหมัน บางคนเรียกชื่อว่า ตา หรือ ลุง ตามสภาพของการเป็นญาติ ทำให้ประชาชน และ ลูกหลานของทหารในกองทัพของ แม่ทัพหมัน และประชาชน จึงเรียกชื่อ แม่ทัพหมัน อีกชื่อหนึ่งด้วยความเคารพ ว่า ตาลง ตามไปด้วย เช่นเดียวกัน
เนื่องจาก หลังจาก สงครามแย่งม้า ได้ยุติลงเมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๑๙๘ เรียบร้อยแล้ว มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ได้มอบหมายภารกิจให้ แม่ทัพหมัน หรือ ตาลุง ไปพัฒนา แม่น้ำศรีโพธิ์(คลองไชยา) เพื่อให้ เรือสำเภา สามารถเดินทางเข้าออกได้โดยสะดวก ดังนั้น ทหารของแม่ทัพหมัน รวมทั้ง ลูกหลาน ของ แม่ทัพหมัน และลูกหลาน ของ ทหาร ในกองทัพ ของ แม่ทัพหมัน ได้ร่วมกันออกไป ร่วมพัฒนา แม่น้ำศรีโพธิ์(คลองไชยา) ร่วมกับ ตาลุง ด้วย ทำให้ แม่ทัพหมัน มีชื่อใหม่ที่ประชาชนล้วนเรือกชื่อแม่ทัพหมัน ด้วยความเคารพในชื่อว่า ตาลุง เช่นเดียวกัน
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านหนัง(บ้านนัง) ที่กำเนิด หนังตะลุง พ.ศ.๑๑๙๖
หลังจากเกิดสงครามแย่งม้า แม่ทัพหมัน แม่ทัพบก นำทหารในกองทัพบก ของท้าวอู่ทอง นำทหารในกองทัพ ของ แม่ทัพหมัน ได้ร่วมกันออกไป ร่วมพัฒนาเมืองศรีโพธิ์ที่ข้าศึกเคยเผาร้างไป ทหารของแม่ทัพหมัน ได้มาตั้งค่ายทหารในท้องที่ บ้านนัง ในปัจจุบัน ครั้งแรกเรียกชื่อว่า ค่ายแม่ทัพหมัน
แม่ทัพหมัน ต้องเดินทางมาปลุกระดมทหารให้มีความรักชาติ และให้มีใจร่วมกันปฏิบัติงาน รวมทั้งสร้างความบันเทิงในค่ายแม่ทัพหมัน โดยคิดสร้างตัวหนังตะลุง ขึ้นมาจากเปลือกไม้ เล่นหนังตะลุง ขึ้นในระยะแรกๆ เพื่อสร้างความรักชาติ และ สร้างความบันเทิงให้กับทหาร ในเวลาค่ำคืน
ต่อมา แม่ทัพหมัน ได้นำหนังควาย มาตัดเป็นตัวหนังตะลุง พร้อมระบายสี แล้วนำมาเล่นหนังตะลุง เป็นเรื่องราวต่างๆ แทรกด้วยมุกตลก ในเวลากลางคืนทำให้คึกคักมาก เนื่องจากทหารของแม่ทัพหมัน มักจะเรียกชื่อ แม่ทัพหมันว่า ตา บ้าง หรือ ลุง บ้าง จึงเป็นที่มาของชื่อ หนังตาลุง ของ แม่ทัพหมัน จนกระทั่งประชาชนในหมู่บ้านใกล้เคียง ได้เดินทางมาชม หนังตาลุง คึกคักทุกค่ำคืน
คำว่า หนังตะลุง เป็นสำเนียงภาษาใต้ มีความหมายเท่ากับ หนังตาลุง ในภาษากลาง ส่วนคำว่า หนัง ในสำเนียงภาษาท้องถิ่นภาคใต้ จะออกเสียงเป็น นัง จึงเป็นที่มาของการกำเนิด บ้านหนัง และเพี้ยนมาเป็น บ้านนัง สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน หนังตะลุง จึงกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๑๑๙๖ และต่อมาเมื่อ มหาจักรพรรดิพ่อหะนิมิต ขึ้นครองราชย์สมบัติ เมื่อปี พ.ศ.๑๒๐๒ มองเห็นประโยชน์ ของ หนังตะลุง จึงส่งเสริมให้เกิดคณะหนังตะลุง ทั่วดินแดนอาณาจักรชวาทวีป และ ดินแดนอาณาจักรมาลัยรัฐ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านเหมือง พ.ศ.๑๑๙๖
บ้านเหมือง ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับ บ้านนัง มีตำนานสรุปว่า ขณะที่แม่ทัพหมัน มาตั้งค่ายพักทหารที่บ้านนัง นั้น แม่ทัพหมัน ได้ไปพบหนองน้ำแห่งหนึ่ง มีน้ำจืด ผุดออกมาเป็นประจำ เป็นน้ำพุถ่วง จึงมอบให้ไพร่พลทำการขุดคูน้ำ ลำเลียงน้ำจืด จากหนองน้ำดังกล่าวนำน้ำจืด ไปใช้ยังบ้านนัง ภาษาท้องถิ่นภาคใต้เรียกว่า เหมืองน้ำ
ต่อมา แม่ทัพหมัน มอบให้ไพร่พล ไปตั้งบ้านเรือน รอบๆ เหมืองน้ำดังกล่าว เรียกว่า บ้านเหมืองน้ำ และถูกตัดคำสั้นตามประเพณีภาษาถิ่นใต้ จาก บ้านเหมืองน้ำ เป็น บ้านเหมือง สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านโลกา และ วัดโลกา พ.ศ.๑๑๙๖
ตำนานบ้านโลกา มีเรื่องราวโดยสรุปว่า ขณะที่เกิดสงครามแย่งม้า ท้าวอู่ทอง ตัดสินพระทัย อพยพไพร่พล จาก กรุงอู่ทอง มาสร้างฐานที่มั่นที่ เมืองศรีโพธิ์(ไชยา) นั้น ท้าวอู่ทอง มอบให้ขุนนางอำมาตย์ ที่ทำหน้าที่รับใช้ในพระราชวัง ได้นำสิ่งของเครื่องใช้ ส่วนพระองค์ ลำเลียงโดยเรือสำเภา มาที่กรุงศรีโพธิ์ ด้วย ในสิ่งของเครื่องใช้นั้น มีกาน้ำทองคำ ประจำท้าวอู่ทอง ใช้ผ้าช่อโลใส่กาน้ำทองคำ มาด้วย
เมื่อเรือสำเภา เดินทางมาถึงบริเวณ วัดโลกา ในปัจจุบัน ก็นำเรือสำเภา ทอดสมอ พักอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวใกล้ๆ กับ ที่พักครอบครัวแม่ทัพหมัน หัวหน้าขุนนางอำมาตย์ ก็เดินทางไปเข้าเฝ้าท้าวอู่ทอง ที่ภูเขาสายหมอ เพื่อกราบทูลว่า สิ่งของเครื่องใช้ มาถึงแล้ว จะนำไปลงเรือที่ไหน แต่ไม่พบท้าวอู่ทอง เพราะขณะนั้น ท้าวอู่ทอง กำลังทำท่าเรือสำเภา อยู่ที่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของ ภูเขาสุวรรณคีรี
หัวหน้าขุนนางอำมาตย์ ได้พยายามเดินทางไปเข้าเฝ้าท้าวอู่ทอง หลายครั้ง แต่ไม่พบ เพราะเป็นความลับในการสร้างพระราชวังหลวงที่เกาะดอนขวาง ในที่สุด แม่ทัพหมัน ได้แนะนำให้พวกขุนนางอำมาตย์ ดังกล่าว สร้างบ้านเรือนอยู่ที่บริเวณ วัดโลกา ในปัจจุบัน จนกระทั่ง กาน้ำทองคำ ที่ช่อโลผ้า ได้สูญหาย หัวหน้าขุนนางอำมาตย์ ดังกล่าว จึงถูกท้าวอู่ทอง สั่งประหารชีวิต หมู่บ้านที่สร้างขึ้น จึงถูกเรียกชื่อว่า บ้านโลกา คำว่าโล หมายถึงผ้าที่ให้ห่อหุ้มกาน้ำทองคำ ส่วนคำว่า กา หมายถึง กาน้ำทองคำ เมื่อเรียกชื่อเป็นสำเนียงภาษาถิ่นภาคใต้ จึงเรียกว่า บ้านโลกา สืบทอดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาประชาชน บ้านโลกา เพิ่มมากขึ้น จึงร่วมกันสร้างวัดขึ้นในพื้นทีดังกล่าว เรียกชื่อว่า วัดโลกา ด้วยเช่นกัน วัดโลกา น่าจะสร้างขึ้นพร้อมๆ กับ วัดดอนพด ระหว่างปี พ.ศ.๑๑๙๗-พ.ศ.๑๒๐๒ แต่จะสร้างขึ้นปีใด นั้น ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะกล่าวถึงได้
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านดอนพด พ.ศ.๑๑๙๖
ตำนาน บ้านดอนพด วัดดอนพด และ ทุ่งชนโค ต.เวียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน กล่าวว่า เมื่อข้าศึกมอญ-ทมิฬโจฬะ ส่งกองทัพเข้ายึดครอง อาณาจักรอีสานปุระ และ แว่นแคว้นต่างๆ ที่ปกครองโดยราชวงศ์ชนชาติอ้ายไต แห่ง อาณาจักรญวนโยนก ได้เรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มส่งกองทัพเข้ารุกรานเมืองด้านนอก ของ อาณาจักรละโว้ และ อาณาจักรอู่ทอง ประชาชนในกรุงอู่ทอง หรือ กรุงราชคฤห์ ดั้งเดิม ก็ถูกมหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง รับสั่งให้เดินทางอพยพ ไปด้วย กลุ่มขุนหลวง แห่ง กรุงอู่ทอง (ราชบุรี) ได้อพยพไปตั้งรกรากที่บริเวณ บ้านดอนพด อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน
มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ได้รับสั่งมอบหมายให้ พวกขุนหลวง กรุงอู่ทอง ให้ไปตั้งรกรากอยู่ที่ บ้านดอนพด ได้มอบให้ทำ เชือกพดมะพร้าว เพื่อนำไปใช้ทำ เชือกระโยงเรือ ของเรือสำเภา เพื่อสนับสนุน การสร้างกองทัพเรือสำเภา เพิ่มเติม บริเวณท้องที่ดังกล่าว จึงถูกลำเลียง พดมะพร้าว มากองไว้เป็นจำนวนมาก เป็นที่มาให้ท้องที่บริเวณดังกล่าวของ อ.ไชยา ในปัจจุบัน จึงถูกเรียกกันว่า บ้านดอนพด สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ตำนานที่มาของ การกำเนิด วัดดอนพด พ.ศ.๑๑๙๗
ต่อมาเมื่อลูกหลานของพวกขุนหลวง อดีตขุนนาง กรุงอู่ทอง(ราชบุรี) เติบใหญ่ ขึ้น และถึงเวลาที่ต้องบวชเรียน ชาวบ้านดอนพด จึงได้ร่วมกันมอบที่ดินส่วนหนึ่ง เพื่อสร้าง วัดดอนพด ขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ศึกษาเล่าเรียนของลูกหลานขุนหลวง
ท้องที่บริเวณ บ้านดอนพด ยังถูกพวกขุนหลวง จากกรุงอู่ทอง ได้สร้าง สนามชนโค และ สนามชนควาย ขึ้นมาแห่งแรก ในท้องที่บริเวณ บ้านดอนพด ด้วย ท้องที่ดังกล่าวจึงถูกเรียกว่า ทุ่งชนโค สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านโพธิ์เรียง พ.ศ.๑๑๙๖
บ้านพุมเรียง ในปัจจุบันนั้น เดิมทีเป็นท้องทะเล ด้วยอิทธิพลของลมมรสมตะวันออกเฉียงเหนือ คลื่นลม ได้นำตะกอนดินมาทับถมจนกลายเป็น เกาะเสร็จ จนตัวเกาะขยายพื้นที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และเป็นที่อยู่อาศัยของชาวประมง ที่ไปหาหอย หาปลา หาปู และสัตว์น้ำทะเลอื่นๆ ทะเลไชยา ขณะนั้น ไปถึงวัดพระธาตุ และ บริเวณสวนโมกข์ผลาราม บริเวณภูเขาสุวรรณคีรี ตั้งอยู่ในเกาะเช่นเดียวกัน เรียกว่า เกาะดอนขวาง ปากอ่าวทะเล อยู่ที่ปากบางน้อย มีปากอ่าวอีกแห่งหนึ่ง เรียกว่า ปากอ่าวศรีโพธิ์ บริเวณเขาถ่าน จดหมายเหตุจีน เรียกชื่อว่า แหลมศรีโพธิ์
เมื่อเกิดสงครามแย่งม้า มีผู้อพยพ เดินทางโดยทางเรือ จำนวนมาก จะเดินทางเข้าสู่เมืองศรีโพธิ์(ไชยา) เข้าทางปากอ่าวบางน้อย หรือ ปากอ่าวศรีโพธิ์(ปากคลองท่าปูน) จะต้องผ่านเกาะเสร็จ ของหมู่บ้านชาวประมงมาก่อน ท้าวอู่ทอง จึงให้ปลูกต้นโพธิ์เรียงไว้ตลอดแนวชายทะเล ไว้ที่เกาะเสร็จ เพื่อให้เป็นที่สังเกต ก่อนเข้าสู่ปากอ่าวบางน้อย หรือ ปากอ่าวศรีโพธิ์ เป็นที่มาให้เกาะเสร็จ ถูกเรียกชื่อใหม่ว่า เกาะโพธิ์เรียง และเพี้ยนต่อมาเป็น พุมเรียง สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านท่าแซะ ชุมพร พ.ศ.๑๑๙๖
ความต้องการหวาย เพื่อนำมาใช้สร้างบ้านเรือน ภายหลังจากมีผู้อพยพหนีภัยสงครามแย่งม้ามาที่กรุงศรีโพธิ์ จำนวนมาก ท้าวอู่ทอง จึงรับสั่งให้ พระยาศรีเวียงชัย เสนาบดีกระทรวงเวียง แบ่งงานให้ไพร่พลส่วนหนึ่งทำหน้าที่ไปจัดหาหวาย มาส่งที่ดอนกรอหวาย(ดอนบ่อกร้อ) ทำหน้าที่กรอหวาย ผ่าหวาย เพื่อส่งไปมอบให้กับช่างก่อสร้างบ้านเรือน ให้กับประชาชน ผู้อพยพหนีภัยสงคราม
เนื่องจากมีป่าต้นหวายมากในป่า ท้องที่ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ในปัจจุบัน จึงต้องจัดไพร่พลไปสร้างบ้านแปลงเมืองในท้องที่ดังกล่าว เพื่อตัดหวาย มากองไว้เพื่อรอเรือสำเภา มาขนส่งไปยัง ดอนกรอหวาย เมืองศรีโพธิ์(ไชยา) เมื่อเรือสำเภามารับหวาย ทางไพร่พลพยายามแทรกหวาย ลงเรือสำเภา ไปสร้างบ้านเรือนของตนเองด้วย การแทรกหวายเข้าไปเพิ่มเติม ภาษาท้องถิ่นภาคใต้ เรียกว่า แซะ พื้นที่ดังกล่าวจึงถูกเรียกชื่อว่า ท่าแซะ สืบทอดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านดอนตากร้อ และ การกำเนิดกีฬาตากร้อ พ.ศ.๑๑๙๖
พื้นที่ดอนกรอหวาย ทำหน้าที่กรอหวาย ผ่าหวาย เพื่อส่งไปมอบให้กับช่างก่อสร้างบ้านเรือน ให้กับประชาชน ผู้อพยพหนีภัยสงครามที่เมืองศรีโพธิ์ ไพร่พลที่ทำหน้าที่กรอหวาย เรียกเป็นสำเนียงภาษาท้องถิ่นภาคใต้ว่า ตากร้อ ท้องที่ดังกล่าวจึงเรียกชื่อในระยะแรกๆ ว่า บ้านตากร้อ
ต่อมาตากร้อ ได้นำหวายมาสานเป็นลูกตะกร้อ แล้วใช้แตะลูกตะกร้อ เป็นวงกลม ในเวลาพักผ่อน หรือยามว่างงาน ต่อมามีน้ำหลาก น้ำในคลองศรีโพธิ์ เป็นสีแดงลูกรัง ไม่สามารถนำมาบริโภคได้ จึงได้มีการขุดบ่อน้ำขึ้นมาที่ บ้านกรอหวาย เพื่อให้ได้น้ำสะอาดมาใช้ในการบริโภค ดังนั้นเวลาเล่นแตะตะกร้อ ลูกตะกร้อ จะตกไปในบ่อน้ำบ่อยครั้ง บ้านกรอหวายจึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็น บ้านดอนบ่อกร้อ เกิดกีฬาตะกร้อ ขึ้นมาในพื้นที่ดังกล่าว
ต่อมาในปี พ.ศ.๑๑๙๘ นายกเจ้าพระยาหะนิมิต ได้มาสร้างพระราชวังที่ประทับ บ้านดอนบ่อกร้อ ก็ได้ร่วมเล่นกีฬาตะกร้อ กับไพร่พลด้วย จึงมีการส่งเสริมการเล่นกีฬาตะกร้อ ทุกลานวัด และ ทุกเทศกาล เรื่อยมา
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านกล้วย เปลี่ยนเป็น บ้านสะหวี พ.ศ.๑๑๙๖
บ้านสะหวี เดิมชื่อบ้านกล้วย เป็นแหล่งปลูกกล้วย ยาวนานมาแล้ว ขณะที่เมืองศรีโพธิ์(ไชยา) มีผู้อพยพหนีภัยสงครามมาจำนวนมาก แรกๆ ก็เกิดความอดหยาก พระยาพัน เป็นผู้จัดแบ่งอาหารให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ท้าวอู่ทอง จึงรับสั่งให้ พระยาพัน นำเรือสำเภา ไปลำเลียงหน่อกล้วย ที่บ้านกล้วย เพื่อนำไปแจกจ่ายให้หมู่บ้านต่างๆ นำไปปลูกจะได้รับผลเร็ว แก้ปัญหาการขาดแคลนอาหาร
พระยาพัน นำไพร่พล ไปขุดหน่อกล้วยที่บ้านกล้วย พร้อมกับตัดเอากล้วยแก่ กล้วยอ่อน มาเป็นเสบียงอาหารด้วย เด็กๆ ที่บ้านกล้วย วิ่งไปบอกเล่าพ่อแม่ว่า “สักหวี ก็ไม่เหลือ” เป็นที่มาให้ประชาชนเรียกบ้านกล้วยในชื่อใหม่ว่า บ้านสักหวี และเพี้ยนมาเป็น บ้านสะหวี ในเวลาต่อมา สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านนาหลวง พ.ศ.๑๑๙๖
เมื่อเกิด สงครามแย่งนาง สงครามทุ่งไหหิน และ สงครามแย่งม้า เสนาบดีพระยาศรีทอง จึงต้องอพยพครอบครัว และ ไพร่พล มาตั้งรกรากอยู่ที่ ดอนพระยาศรีทอง เกาะดอนขวาง พระยาศรีทอง จึงได้รับมอบหมายจาก มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ให้เร่งรัดส่งเสริมการทำนา และการปลูกพืชอื่นๆ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนเสบียงอาหาร ให้กับผู้อพยพหนีภัยสงคราม
ในระยะแรกๆ เสนาบดี พระยาศรีทอง ได้นำไพร่พลร่วมกัน ขุดนาพระยา และ นานางพระยา และได้เร่งสร้างท้องนาหลวง และ สร้างระบบชลประทาน เพื่อการทำนา จนเป็นผลสำเร็จ สามารถทำนาอย่างได้ผล มีพันธ์ข้าว ไปแจกจ่ายให้กับผู้ที่เดินทางอพยพมายัง แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) สามารถทำนาได้ปีละ ๒ ครั้ง สามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนเสบียงอาหาร เป็นผลสำเร็จ และสามารถสร้างเส้นทางสายนาหลวง ซึ่งใช้เดินทางจาก บริเวณ พระราชวังหลวง ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) ไปยัง ท้องนาหลวง ระยะทางประมาณ ๒ กิโลเมตร เป็นผลสำเร็จ อีกด้วย
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านถิ่นหลวง
ตำนานที่มาของชื่อ บ้านท่าฉาง
ตำนานพ่อตาพร ผู้สร้างเสาธง ที่ท่าเสาธง ปากอ่าวศรีโพธิ์(ไชยา) พ.ศ.๑๑๙๖
ตำนาน พ่อตาพร ซึ่งประชาชนนิยมบวงสรวงเซ่นไหว้ บริเวณ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) และ บริเวณท่าเสาธง(ปากอ่าวศรีโพธิ์) มีเรื่องราวโดยสรุปว่า พระยาพร เป็นนายทหารองค์รักษ์ ของ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) รับราชการมาตั้งแต่สมัยที่ พระราชวังหลวง ตั้งอยู่ที่ กรุงอู่ทอง(คูบัว) แคว้นราชคฤห์(ราชบุรี) แห่ง อาณาจักรอู่ทอง แต่เมื่อเกิด สงครามแย่งนาง สงครามทุ่งไหหิน และ สงครามแย่งม้า พระยาพร ได้มาร่วมสร้างพระราชวังหลวงขึ้นมาใหม่ บริเวณภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) เกาะดอนขวาง ด้วย
ที่ เกาะดอนขวาง พระยาพร ได้รับมอบหมายจาก มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ให้นำเหล่าทหารองค์รักษ์ ดูแลความปลอดภัย บริเวณพระราชมณเฑียร ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นที่ว่าราชการ ของมหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง บริเวณเนินเขา ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) และดูแล สระบัว ๒ สระ หน้าพระราชมณเฑียร
ในขณะที่ พระยาพร ได้มาสร้างพระราชวังหลวง อยู่ที่ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) เกาะดอนขวาง นั้น เป็นภาวะสงคราม ขาดแคลนเสื้อผ้า อย่างรุนแรง พระยาพร จึงไม่สามารถตอบสนองเสื้อผ้าให้กับ ทหารราชองค์รักษ์ ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ ดังนั้นเสื้อผ้าที่ได้รับมาใหม่ พระยาพร ต้องตอบสนองเสื้อผ้าให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ก่อน จนกระทั่งตนเองมีเสื้อผ้าสวมใส่เหลืออยู่ ขาดรุ่งริ่ง มีเพียงเสื้อผ้า ปกปิดอวัยวะเพศ เท่านั้น
ต่อมา มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) มอบหมายให้ พระยาพร ไปสร้างท่าเรือ และ สร้างเสาธง ขึ้นที่ท่าเสาธง บริเวณ ปากอ่าวศรีโพธิ์(ปากคลองท่าปูน ในปัจจุบัน) และมอบหมายให้นำธงชาติ ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ปีนขึ้นไปติดตั้งบนยอดเสาธง ชั่วคราว เพื่อให้ผู้อพยพหนีภัยสงคราม สามารถสังเกต ได้ง่าย พระยาพร จึงต้องปีนเสาธง ขึ้นไปติดตั้งธงชาติ บนปลายเสาธงจนสำเร็จ ทำให้เสื้อผ้า ขาดไม่พอเพียงที่จะปิดอวัยวะเพศ
เหตุการณ์ครั้งนั้น พระยาพร เกรงว่า ถ้าลงมาจากเสาธง จะอับอายขายหน้า ขุนนาง และบ่าวไพร่ ทั้งหลาย และเป็นที่อับอายของ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ที่ทหารองค์รักษ์ไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ จึงตัดสินใจทิ้งร่างลงมาจากยอดเสาธง เสียชีวิต ทันที ที่โคนเสาธง บริเวณท่าเสาธง ดังกล่าว ประชาชนที่นิยมบวงสรวงเซ่นไหว้ พ่อตาพร จึงนิยมนำเสื้อผ้าใหม่ๆ หรือ ผ้าขาวม้า ไปถวายให้กับ พ่อตาพร ในพิธีกรรมบวงสรวงเซ่นไหว้ ทั้งบริเวณท่าเสาธง และบริเวณ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) สืบทอดต่อเนื่องกันมา จนถึงปัจจุบัน
ตำนานพ่อตาพัน ผู้แก้ไข การการแคลนเสบียงอาหาร ให้กับผู้อพยพ พ.ศ.๑๑๙๖
ตำนาน พ่อตาพัน ซึ่งชาวประมง นิยมบวงสรวงเซ่นไหว้ บริเวณ ท่าเสาธง ทุ่งเซเคย ปากคลองท่าปูน โดยเฉพาะ ผู้เลี้ยงกุ้ง เลี้ยงปลา ริมชายทะเล โดยทั่วไป เรื่องราวของ พ่อตาพัน มีเรื่องราวโดยสังเขป ว่า เดิมที นายพัน เคยรับราชการเป็นทหารเรือ ในกองทัพของ พระยาพาน มาก่อน จนกระทั่ง มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ขึ้นครองราชย์สมบัติ เป็น มหาจักรพรรดิ ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กรุงอู่ทอง พ่อตาพัน ได้บวชเรียน และมารับราชการจนกระทั่งมีตำแหน่งเป็น พระยาพัน จึงได้ไปเป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองหนึ่ง ในดินแดน แคว้นหนองหาร(อุดรธานี) จนกระทั่งถูกข้าศึกมอญ-ทมิฬโจฬะ ตีเมืองแตก จึงต้องหลบหนี อพยพผ่านความตายมาจาก ดงเทพสถิตย์ จนสามารถเดินทางมาถึง เกาะดอนขวาง แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) และได้มารายงานตัวต่อ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน)
เมื่อ พระยาพัน เดินทางมาถึง อาณาจักรชวาทวีป ได้มาตั้งรกรากอยู่ที่ แม่น้ำหลวง(แม่น้ำตาปี) กลายเป็นชาวประมง หากินอยู่ในแม่น้ำหลวง จนกระทั่ง มีความเชี่ยวชาญในการออกเรือทะเลหาปลา มาก่อน ต่อมา พระยาพัน ทราบว่า มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) อพยพไพร่พล มาตั้งรกราก สร้างฐานที่มั่นอยู่ที่ เกาะดอนขวาง จึงขอเข้าเฝ้า อาสาเข้าร่วมแก้ไขปัญหาให้กับบ้านเมือง จึงต้องอพยพ มาตั้งรกรากใหม่ ที่ท่าดอนร้อยเอ็ด แล้วนำไพร่พล ไปจัดหาเสบียงกรังที่ ทุ่งเซเคย ทำหน้าที่ ทำกะปิ ส่งมอบให้ผู้อพยพ ซึ่ง พระยาพัน เคยมีความเชี่ยวชาญในท้องที่ดังกล่าว มาก่อน
เมื่อมหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ได้มาสร้างพระราชวังหลวงขึ้นมาใหม่ ณ บริเวณ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) เกาะดอนขวาง พระยาพัน ซึ่งมีความสามารถในการคำนวณ บวกลบคูณหาร ตัวเลข อย่างคล่องแคล่ว จึงได้รับมอบหมายจาก มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง ให้นำไพร่พล ออกหาปลา ในทะเล เพื่อนำมาใช้เป็นเสบียงอาหาร ให้กับผู้อพยพ หนีภัยสงคราม มายังเมืองศรีโพธิ์(ไชยา)
พระยาพัน สามารถจัดไพร่พล ออกทะเลหาปูปลา และจัดแบ่งให้กับผู้อพยพ ได้อย่างเป็นธรรม เนื่องจาก พระยาพัน มีความสามารถในการคำนวณคิดเลขในใจ ในการ บวก ลบ คูณ หาร ในการแบ่งอาหาร กุ้ง หอย ปู ปลา ได้อย่างเป็นธรรม อีกทั้งยังเป็นผู้รู้จักถนอมอาหาร มาใช้ในภาวะสงคราม ได้เป็นอย่างดี ต่อมา พระยาพัน ได้เสียชีวิตในสงครามแย่งช้าง จึงได้รับการยกย่อง เรื่อยมา ประชาชนจึงได้ทำการเคารพนับถือ และบวงสรวงเซ่นไหว้ พ่อตาพัน สืบทอดต่อเนื่อง มาจนถึง ปัจจุบัน
ตำนาน พ่อตาพระยาสีทอง เสนาบดีกระทรวงนา ผู้แก้ไขการขาดแคลนอาหาร พ.ศ.๑๑๙๖
ตำนาน พ่อตาศรีทอง ซึ่งประชาชนนิยมบวงสรวงเซ่นไหว้ บริเวณ ดอนพระยาศรีทอง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ของ ทุ่งพระเมรุ ระหว่าง วัดพระแก้ว กับ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) มีเรื่องราวโดยสรุปว่า พระยาศรีทอง เป็นขุนนาง ของ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) เป็นเสนาบดี รับผิดชอบในการบริหารงานดูแล กระทรวงเกษตรกรรม(กระทรวงนา) ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ตั้งแต่เมืองนครหลวงตั้งอยู่ที่ กรุงอู่ทอง(ราชบุรี) เป็นผู้ส่งเสริมการปลูกข้าวหอม และสร้างสวนผลไม้สาธารณะ ขึ้นทั่วทุกแว่นแคว้น ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ
ต่อมาเมื่อเกิด สงครามแย่งนาง สงครามทุ่งไหหิน และ สงครามแย่งม้า เสนาบดีพระยาศรีทอง จึงต้องอพยพครอบครัว และ ไพร่พล มาตั้งรกรากอยู่ที่ ดอนพระยาศรีทอง เกาะดอนขวาง พระยาศรีทอง เป็นที่ตั้งที่ว่าราชการของ กระทรวงนา จึงได้รับมอบหมายจาก มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ให้เร่งรัดส่งเสริมการทำนา และการปลูกพืชอื่นๆ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนเสบียงอาหาร ให้กับผู้อพยพหนีภัยสงคราม
ในระยะแรกๆ เสนาบดี พระยาศรีทอง ได้นำไพร่พลร่วมกัน ขุดนาพระยา และ นานางพระยา และได้เร่งสร้างท้องนาหลวง และ สร้างระบบชลประทาน เพื่อการทำนา จนเป็นผลสำเร็จ สามารถทำนาอย่างได้ผล มีพันธ์ข้าว ไปแจกจ่ายให้กับผู้ที่เดินทางอพยพมายัง แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) สามารถทำนาได้ปีละ ๒ ครั้ง สามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนเสบียงอาหาร เป็นผลสำเร็จ และสามารถสร้างเส้นทางสายนาหลวง ซึ่งใช้เดินทางจาก บริเวณ พระราชวังหลวง ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) ไปยัง ท้องนาหลวง ระยะทางประมาณ ๒ กิโลเมตร เป็นผลสำเร็จ อีกด้วย
ต่อมา จักรพรรดิเจ้าพระยาศรีธรรมโศก ได้ส่ง เจ้าชายศรีวิชัย ซึ่งเป็นพระราชโอรส ให้นำไพร่พล ไปร่วมสร้างเส้นทางระหว่าง พระราชวังหลวง ของ แคว้นศรีโพธิ์ บริเวณวัดเวียงในปัจจุบัน มายัง ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) ซึ่งเป็นที่ตั้งพระราชวังหลวง ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ บริเวณเกาะดอนขวาง ร่วมกับ พระยาศรีทอง เป็นผลสำเร็จ อีกด้วย
เส้นทางสายนี้ เดิมเรียกว่า เส้นทางสายศรีวิชัย (ปัจจุบันถูกตั้งชื่อใหม่ เรียกว่า ถนนสันติมิตร) เริ่มต้นจากบริเวณ สามแยกวัดเวียง ตรงไปยังพระราชวังหลวง ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ โดยอ้อมโค้ง พระราชวังหลวง ไปทางทิศตะวันออก ของ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) ไปจดกับ เส้นทางสายตาหาร เป็นผลสำเร็จ ดังนั้น เมื่อ เสนาบดี พระยาศรีทอง ถึงแก่อนิจกรรม จึงมีการสร้าง ศาลพระยาศรีทอง ขึ้นมาในบริเวณ ทุ่งพระยาศรีทอง ซึ่งประชาชน นิยมบวงสรวงเซ่นไหว้ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ตำนานศาลเกาะแม่ยาย แม่ยาย ผู้ตามหาหลานชาย จนเสียชีวิต
ตำนาน ศาลเกาะแม่ยาย ซึ่งประชาชนนิยมบวงสรวงเซ่นไหว้ บริเวณบ่อแช่เสา เกาะแม่ยาย ซึ่งตั้งอยู่ระหว่าง ทุ่งพระเมรุ กับ คลองหนองขาว ทางทิศเหนือ ของ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) มีเรื่องราวโดยสรุปว่า เมื่อมหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ได้มา สร้างศูนย์กลางอำนาจรัฐใหม่ ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ณ เกาะดอนขวาง แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) นั้น มีเรื่องราวของ ศาลเกาะแม่ยาย เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เนื่องจาก เมื่อสิ้นสงครามแย่งนาง ที่เมืองเชียงแสน ต่อเนื่องไปจนถึง สงครามทุ่งไหหิน และสงครามแย่งม้า มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ได้รับสั่งให้ เจ้าพระยาศรีทรัพย์(ขุนชวา) นำไพร่พล มาควบคุมการสร้างทำนบเพื่อทดน้ำ นำน้ำจืด มาใช้ในการบริโภค และการเกษตรกรรมเพื่อการทำนาในท้องที่บริเวณพื้นที่ เกาะดอนขวาง นั้น ขณะนั้นมีการสร้างพระราชวังหลวง เพื่อใช้เป็นที่ประทับ ของ เชื้อสายราชวงศ์อู่ทอง ขึ้นมาบริเวณ ดอนนพไชย(ดอนวัดนพ) จึงมีการขออาสาสมัคร ให้มาร่วมกันช่วยเหลือในการการร่วมปฏิบัติงานครั้งนี้ เป็นจำนวนมาก มี หลานชาย คนหนึ่ง ของ แม่ยาย ที่จะกล่าวถึง ด้วย
เนื่องจากเหตุการณ์ในขณะนั้น มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) จำเป็นต้องเร่งรัดการทำงาน เพื่อตระเตรียมเสบียงอาหารให้เพียงพอ เพราะเกรงว่า ข้าศึกมอญ-ทมิฬโจฬะ อาจก่อสงคราม ขึ้นอีก จึงมีการเร่งรัดปฏิบัติงานเร่งด่วน เกิดการทำงานทั้งกลางวัน กลางคืน จึงมีการนอนพัก และหุงหาอาหารอยู่ในบริเวณท้องที่ บริเวณเกาะแม่ยาย ซึ่งหลานชายของ แม่ยาย ได้มาร่วมปฏิบัติงาน จึงไม่ยอมกลับบ้านช่อง ไปรายงานให้ แม่ยาย รับทราบ
เนื่องจาก แม่ยาย ผู้นั้น เป็นห่วงหลานชาย ที่มาร่วมช่วยสร้างทำนบ ทดน้ำจืด เพื่อการทำนา และเพื่อการบริโภค จึงได้เดินทางติดตาม ไปตามหาหลานชาย เมื่อเดินทางมาถึงบริเวณ บ่อแช่เสา บริเวณต้นตะเคียน บริเวณศาลเกาะแม่ยาย ก็รู้สึกเหนื่อยมาก แล้วก็เป็นลมล้มพับอยู่บริเวณโคนต้นตะเคียนดังกล่าว และเสียชีวิตไปในที่สุด ดวงวิญญาณ ก็เรียกหาแต่หลานชาย
หลังจากการเผาศพ แม่ยาย เรียบร้อยแล้ว เจ้าพระยาศรีทรัพย์(ขุนชวา) ซึ่งเป็นแม่งาน ได้สร้าง ศาลแม่ยาย ขึ้นมาบริเวณ เกาะแม่ยาย และมีการกราบไหว้เคารพดวงวิญญาณ แม่ยาย เรื่อยมา ปัจจุบัน ประชาชนเชื่อกันว่าดวงวิญญาณของแม่ยายดังกล่าว ยังสิงสถิตย์อยู่ที่ศาลเกาะแม่ยาย บริเวณต้นตะเคียนทอง ยังมิได้ไปผุดไปเกิด ผู้ที่ไปทำนารอบๆ เกาะแม่ยาย จึงต้องบวงสรวงดวงวิญญาณ และเซ่นไหว้ด้วยข้าวปลาอาหาร พร้อมกับขอเลขหวย ถูกหวยกันบ่อยมาก จึงมีการบวงสรวงขอหวยกันเป็นประจำมิได้ขาด สืบทอดต่อเนื่องกันมา จนถึงปัจจุบัน เมื่อมีการขุดนาขึ้นมาในบริเวณดังกล่าว จึงเรียกท้องนาในพื้นที่ดังกล่าว ว่า นาเกาะแม่ยาย ซึ่งถูกเรียกสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน
พ่อตาหาร ตำนานความเป็นมาของคำว่า ทหาร คือ นักรบ และ นักพัฒนา
ตำนาน พ่อตาหาร ซึ่งประชาชนนิยมบวงสรวงเซ่นไหว้ บริเวณ ภูเขาตาหาร(ภูเขาน้ำร้อน วัดธารน้ำร้อน) และบริเวณปากคลองท่าปูน วัดธารน้ำร้อน ในปัจจุบัน มีเรื่องราวเกี่ยวกับการสร้าง เส้นทางสายตาหาร เป็นตำนานที่มาของคำว่า ทหาร โดยสรุป ดังนี้
เมื่อมหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ตัดสินพระทัยใช้พื้นที่ เกาะดอนขวาง เป็นที่ตั้งศูนย์กลางอำนาจรัฐ ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ประจำ กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) นั้น มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง ได้ประกาศคัดเลือกนักรบอาสาสมัคร จำนวน ๙๙ คน โดยประกาศให้ผู้สมัคร มารวมตัวเพื่อตรวจคัดเลือกกันที่ ปากอ่าวศรีโพธิ์ บริเวณ ท่าเสาธง ที่ทุ่งเซเคย ผลการคัดเลือก ตาหาร เป็นผู้หนึ่งที่ได้รับการคัดเลือกไปฝึกฝนการรบ เพื่อให้มาเป็นนักรบ และร่วมพัฒนาสร้าง เกาะดอนขวาง ให้เป็นที่ตั้งศูนย์กลางอำนาจรัฐ ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ โดยเร่งด่วน
ต่อมา มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ได้จัดประชุมนักรบจำนวน ๙๙ คน ตามที่ได้รับสมัคร และผ่านการคัดเลือกมาแล้ว เพื่อแบ่งงาน และแยกกันไปปฏิบัติหน้าที่ ในพื้นที่ เกาะดอนขวาง มีงานชิ้นหนึ่งคือ การสร้างเส้นทางจากบริเวณปากอ่าวศรีโพธิ์(ตรงข้ามกับท่าเสาธง) มายัง ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) เพื่อเชื่อมกับเส้นทางสาย เจ้าชายศรีวิชัย ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดกล้าอาสาสมัคร รับงานดังกล่าว มีเพียง ตาหาร เพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่เป็นผู้กล้าอาสารับปฏิบัติงานดังกล่าว มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง จึงจัดหาไพร่พล ให้เป็นบริวาร ให้ไปช่วยเหลือ เพื่อสร้างเส้นทางดังกล่าว ให้สำเร็จ ตามเป้าหมาย
ในเวลาไม่นาน ตาหาร และบริวาร ได้ช่วยกันถางป่า และสร้างเส้นทางสาย เส้นทางสายตาหาร แต่งานยังไม่สำเร็จเรียบร้อย ก็เกิด สงครามแย่งช้าง ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมีการรบทางทะเล ในพื้นที่ อ่าวศรีโพธิ์ ด้วย ศึกครั้งนั้น กองทัพเรือข้าศึก โดยพระเจ้ามังกูร่า แห่ง อาณาจักรชบาตะวันตก(สุมาตรา) กรุงโพธิ์กลิงค์บัง(ปาเล็มบัง) พยายามทำลายเครื่องจักรควบคุมโซ่เรือ ซึ่งควบคุมการเข้าออกของเรือสำเภา ที่ปากอ่าวศรีโพธิ์(ปากคลองท่าปูน) ซึ่งควบคุมโดย พระยาเสือเขา เพื่อนำกองทัพเรือเข้าสู่ อ่าวศรีโพธิ์ และบุกขึ้นฝั่ง เกาะดอนขวาง เป็นผลสำเร็จ เมื่อ ตาหาร ทราบข่าว ตาหาร ได้ออกไปทำการสู้รบ มิให้ข้าศึกสามารถทำลาย และยึดครอง เครื่องจักรควบคุมโซ่เรือ ด้วยอาวุธเท่าที่มีอยู่ จนกระทั่งสามารถทำลายข้าศึกทมิฬโจฬะ และสามารถเข้ายึดครอง เครื่องจักรควบคุมโซ่เรือ มิให้กองทัพข้าศึกทมิฬโจฬะ ยกกองทัพเข้าสู่เกาะดอนขวางได้ สำเร็จ
ต่อมา พระยาเสือเขา ถูกประหารชีวิต ตามที่กล่าวมาแล้ว ตาหาร จึงกลายเป็นผู้ควบคุมเครื่องจักรกล ในการควบคุมการเข้าออกของเรือสำเภา บริเวณ ปากอ่าวศรีโพธิ์ และเมื่อ จักรพรรดิพ่อหะนิมิต ขึ้นครองราชย์สมบัติ เป็นมหาจักรพรรดิ ปกครอง สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ก็ได้ยกย่อง ให้ ตาหาร เป็นแบบอย่างในการต่อสู้กับข้าศึก จึงมีการเปลี่ยนชื่อนักรบมาเป็นคำว่า ตาหาร และเพี้ยน เป็นไทย คำว่า ทหาร ในเวลาต่อมา
เมื่อ ตาหาร เสียชีวิต ได้นำอัฐิ ไปฝังไว้ที่ ภูเขาตาหาร(ภูเขาน้ำร้อน วัดธารน้ำร้อน) บริเวณปากอ่าวศรีโพธิ์ คือท้องที่ภูเขาวัดธารน้ำร้อน อ.ท่าฉาง ในปัจจุบัน ประชาชนเชื่อว่า ดวงวิญญาณของ พ่อตาตาหาร ยังสิงสถิตย์อยู่ที่โซ่เรือ ในบริเวณ ภูเขาตาหาร จึงมีการบวงสรวงเซ่นไหว้ เอ่ยชื่อ พ่อตาหาร สืบทอดกันมา จนถึงปัจจุบัน
พ่อตาพระยารักษา เสนาบดีคลัง ผู้สร้างท้องพระคลังหลวง
พ่อตาพระยารักษา ซึ่งประชาชนนิยมบวงสรวงเซ่นไหว้บริเวณจอมปลวก ดอนพระยารักษา บริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) มีเรื่องราวโดยสรุปว่า เมื่อ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ได้มาใช้ เกาะดอนขวาง สร้างเป็นที่ตั้ง พระราชวังหลวง เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางอำนาจรัฐ ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ นั้น พระยารักษา เป็นเสนาบดีคลัง รับผิดชอบในการดูแลท้องพระคลังหลวง และที่พักราชทูต ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ตั้งแต่ มีพระราชวังหลวงคูบัว อยู่ที่ กรุงอู่ทอง(ราชบุรี) ดังนั้นเมื่อ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง ได้มาใช้เกาะดอนขวาง เป็นที่ตั้งศูนย์กลางอำนาจรัฐ ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ พระยารักษา จึงต้องโยกย้ายติดตามตามมารับราชการ ด้วย
เนื่องจาก มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ได้ลำเลียงทรัพย์สินต่างๆ มากองรวมกันไว้ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) แล้วมอบให้ พระยารักษา ผู้รักษาท้องพระคลังหลวง ทำการควบคุมดูแลทรัพย์สินต่างๆ และทำการสร้างอาคารท้องพระคลังหลวง ขึ้นมาในบริเวณท้องที่ดังกล่าวจนสำเร็จ
ก่อนเกิดสงครามแย่งช้าง นั้น มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) เกิดลางสังหรใจว่า จะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน จึงรับสั่งให้ พระยารักษา เร่งสร้างประตูเพชร ซึ่งประดับด้วยเพชรพลอย ขึ้น และรับสั่งมิให้เพชรพลอยที่ใช้ประดับประตูเพชร ถูกลักขโมย ไปเป็นอันขาด เป็นที่มาให้ พระยารักษา หนักใจมาก จึงต้องไปหลับนอน เฝ้ารักษาประตูเพชร จนกระทั่งเสียชีวิต ณ ประตูเพชร ดังกล่าว ดังนั้น เมื่อ พระยารักษา สิ้นชีวิตไป ดวงวิญญาณของ พระยารักษา ยังคงห่วงใยทรัพย์สินต่างๆ ของท้องพระคลังหลวง อยู่เช่นเดิม จึงมีการบวงสรวงเซ่นไหว้ พ่อตาพระยารักษา ในบริเวณท้องที่ดังกล่าวเป็นประจำทุกปี สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ตำนานพ่อตาทุ่งใหญ่ ที่ ภูเขาน้ำร้อนพ่อตาทุ่งใหญ่
ตำนาน พ่อตาทุ่งใหญ่ ซึ่งประชาชนเชื่อว่ามีดวงวิญญาณสิงสถิตย์ อยู่ที่ ภูเขาน้ำร้อนพ่อตาทุ่งใหญ่ โดยมีการบวงสรวงเซ่นไหว้สืบทอดมาจนถึง ปัจจุบัน มีเรื่องราวโดยสรุป กล่าวถึงการอพยพเข้ามาตั้งรกรากในดินแดน เกาะพระนางสิยา และเรื่องราวที่ เจ้าพระยาศรีไชยนาท ตัดสินพระทัยมาใช้ เกาะพระนางสิยา มาสร้างเป็นพระราชวัง มีเรื่องราวโดยสังเขป ดังนี้
เรื่องราวของ พ่อตาทุ่งใหญ่ คือเหตุการณ์สืบเนื่องมาจากในรัชสมัยของ หยางพุทธทอง ได้มารื้อฟื้น แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) และได้เกิดสงครามจากการที่ ชนชาติทมิฬโจฬะ อาณาจักรผัวหมา(พม่า) เผาทำลายเมือง และฆ่าฟัน ชนชาติอ้ายไต ล้มตาย เป็นจำนวนมาก
เมื่อประชาชนใน แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก พร้อมกับเกิดไข้ห่า(อหิวาตกโรค) ระบาด ใน เมืองศรีโพธิ์(ไชยา) พ่อตาทุ่งใหญ่ ซึ่งเป็นประชาชนในเมืองศรีโพธิ์(ไชยา) เกรงว่าจะติดโรคระบาด จึงอพยพครอบครัวไปหักร้างถางพง ตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่ เกาะเรือ บริเวณ ภูเขาน้ำร้อนพ่อตาทุ่งใหญ่ ในปัจจุบัน ครอบครัวของ พ่อตาทุ่งใหญ่ จึงรอดชีวิตจากโรคระบาด ครั้งนั้น ดังนั้นเมื่อ พ่อตาทุ่งใหญ่ เสียชีวิต ดวงวิญญาณ ก็สิงสถิตย์ อยู่ที่ ภูเขาน้ำร้อนพ่อตาทุ่งใหญ่ สืบทอดต่อเนื่องกันมา ซึ่งประชาชน ยังคงนิยมบวงสรวงเซ่นไหว้ สืบทอดต่อเนื่องกันมา จนถึงปัจจุบัน
ตำนานพ่อตาลาวสูง ที่ ภูเขาน้ำร้อนพ่อตาลาวสูง
เรื่องราวของ พ่อตาลาวสูง มีเรื่องราวโดยสังเขป คือ ก่อนที่จะสิ้นสุด สงครามแย่งม้า ครั้งนั้น เมื่อ แม่ทัพพระยาสูง หนีทัพ ของ พระยากาฬดิษฐ์ เดินทางมาตามหา เจ้าพระยาไชยฤทธิ์ ที่ แคว้นศรีพุทธิ(คันธุลี) นั้น เป็นเหตุการณ์ที่ เจ้าพระยาไชยฤทธิ์ สวรรคต เรียบร้อยแล้ว และเป็นช่วงเวลาที่ มีการจัดงานพระบรมศพ เจ้าพระยาไชยฤทธิ์ ที่พระราชวังไทรขุนฤทธิ์ แคว้นศรีพุทธิ(คันธุลี) พอดี
อย่างไรก็ตาม แม่ทัพพระยาสูง ได้มีโอกาสพบกับ พระนางสิยา มเหสี ของ เจ้าพระยาขุนไชยฤทธิ์ จึงได้แจ้งถึงการก่อกบฏ ต่อ ราชวงศ์มอญ-ทมิฬโจฬะ แห่ง อาณาจักรอีสานปุระ ของตนเอง ต่อ พระนางสิยา ซึ่งเป็นที่มาให้ พระนางสิยา มีพระราชสาสน์ ถึง เจ้าพระยาศรีไชยนาท ให้รวบรวมไพร่พล ชนชาติอ้ายไต จาก อาณาจักรอ้ายลาว ที่ถูกจับไปเป็นเชลยศึก ให้มาทำสงครามปราบปราม ชนชาติอ้ายไต ให้ร่วมกันหนีทัพ จาก กองทัพมอญ-ทมิฬโจฬะ ในสงครามที่ แคว้นนาลองกา โดยได้หนีไปร่วมสร้าง เมืองกุย(กุยบุรี) สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนการสร้าง พระราชวังพระนางสิยา หรือ พระราชวังนางตะเคียน นั้น มีผลมาจาก แม่ทัพพระยาสูง อดีตแม่ทัพของ เจ้าพระยาไชยฤทธิ์ ซึ่งหนีการจับกุม ของ ข้าศึก มาได้ ต้องการเดินทางไปสร้าง เมืองกุย(กุยบุรี) แต่พระนางสิยา เหนี่ยวรั้งไว้ ทั้งนี้เพราะ มีผู้ที่ต้องการให้ เจ้าพระยาศรีชัยนาท มาครอบครอง พระราชวังไทรขุนฤทธิ์ แทนที่ แต่พระนางสิยา ไม่เห็นชอบด้วย เพราะ พระนางสิยา ทราบว่า เจ้าพระยาศรีไชยนาท มีความสามารถ ในสงครามกองทัพม้า แต่พระนางสิยา ต้องการให้ เจ้าพระยาศรีไชยนาท เป็นผู้เชี่ยวชาญในการรบด้วยกองทัพเรือ ด้วย เพื่อเตรียมกอบกู้ดินแดนสุวรรณภูมิ กลับคืน จึงมอบหมายให้ แม่ทัพพระยาสูง เดินทางไปสำรวจพื้นที่ เกาะเรือ ในพื้นที่ อ่าวศรีโพธิ์ เพื่อสร้างพระราชวังที่ประทับให้กับ เจ้าพระยาศรีไชยนาท ซึ่งเป็นที่มาของ พระราชวังพระนางสิยา ในเวลาต่อมา
เนื่องจาก หลังสิ้นสุดสงครามแย่งม้า เจ้าพระยาศรีไชยนาท ต้องเป็นหัวหน้าคณะราชทูต เดินทางไปสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต กับประเทศจีน เมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๑๙๘ พระนางสิยา จึงถือโอกาส สร้างพระราชวังขึ้นมาบนพื้นที่ เกาะเรือ อ่าวศรีโพธิ์ มีชื่อว่า พระราชวังพระนางสิยา หรือ วังแม่นางตะเคียน เพื่อให้เป็นที่ประทับ และเป็นที่ว่าราชการของ เจ้าพระยาศรีไชยนาท เป็นเหตุให้ พระยาสูง ต้องนำไพร่พล ไปพัฒนาพื้นที่ ขุดคูน้ำจืด เพื่อทดน้ำจืด จากน้ำพุถ่วง ภูเขาพ่อตาลาวสูง มาใช้ในพระราชวัง เป็นที่มาให้ พระยาสูง ถูกเรียกชื่อใหม่ว่า พระยาลาวสูง แทนที่
ต่อมา เมื่อ พระยาลาวสูง ร่วมสร้างพระราชวังพระนางสิยา สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เกิดสงครามแย่งช้าง พระยาลาวสูง เสียชีวิต ณ ภูเขาน้ำร้อนพ่อตาลาวสูง ดวงวิญญาณ ของ พ่อตาพระยาลาวสูง จึงสิงสถิตย์ อยู่ที่ภูเขาดังกล่าว เป็นที่เคารพ ของ ประชาชน สืบทอดต่อเนื่อง มาจนถึงปัจจุบัน
ตำนานความเป็นมา ของ วัดประสบ อ.ไชยา พ.ศ.๑๑๙๖
ตำนานความเป็นมา ของ วัดประสบ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวถึงความเป็นมาของการก่อกำเนิด วัดประสบ เป็นผลของการอพยพหนีภัยสงครามแย่งม้าเมื่อปี พ.ศ.๑๑๙๖ กล่าวโดยสรุปว่า เมื่อเมืองเก่าหลายเมือง ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กรุงอู่ทอง ถูกกองทัพมอญ-ทมิฬ ตีแตกพ่าย มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) จึงมีรับสั่ง ให้กลุ่มไพร่พลเมืองเก่า รวมทั้งพระภิกษุสงฆ์ อพยพไพร่พลไปรวมตัวกัน ณ แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) ในบริเวณที่นัดประสบพบกัน คือพื้นที่ บริเวณ วัดประสบ ในปัจจุบัน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสี่แยกท่าโพธิ์ เป็นจุดนัดพบที่ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง มีรับสั่งให้พวกเจ้าเมืองเก่าทั้งหลาย ที่อพยพหนีภัยสงคราม ให้นำเรือมาจอดทอดสมอ ที่ ท่าโพธิ์ แล้วให้ไปรวมตัวกันในบริเวณสถานที่นัดพบ ดังกล่าวใช้เป็นที่ถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุสงฆ์ ด้วย
ต่อมาสถานที่ดังกล่าว กลุ่มไพร่พลผู้อพยพเมืองเก่า ร่วมกับพระภิกษุ ได้ร่วมกันสร้าง ที่เพล เพื่อใช้เป็นที่ถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุสงฆ์ ให้เป็นจุดนัดพบกัน และเมื่อได้มีการจัดให้มีที่อยู่ ของ แต่ละครอบครัว ขึ้นอย่างเรียบร้อย กลุ่มไพร่พลของเมืองเก่าที่เดินทางอพยพหลบภัยสงคราม จึงได้จัดให้บริเวณ ที่เพล ดังกล่าว ถูกสร้างขึ้นเป็น วัดแห่งแรก ของ แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) เมื่อปี พ.ศ.๑๑๙๖ และถือว่า เป็นวัดที่ ๒ ในดินแดนอาณาจักรชวาทวีป คือ วัดประสบ ใน อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบันนั่นเอง
กำเนิด บ้านท่าดอนร้อยเอ็ด(ดอนเอ็ด อ.ไชยา) และ วัดโรงหงส์ หรือ วัดสโมสร พ.ศ.๑๑๙๖
ตามตำนาน บ้านท่าดอนร้อยเอ็ด(ดอนเอ็ด อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี) และ วัดโรงหงส์ หรือ วัดสโมสร กล่าวว่า เมื่อข้าศึกมอญ-ทมิฬ ยกกองทัพเข้าโจมตี เมืองร้อยเอ็ด หรือ เมืองสาเกตุ และเมืองอื่นๆ เมืองต่างๆ ดังกล่าว เจ้าเมืองต่างๆ ไม่ทันตระเตรียมกำลังทหารเพื่อรักษาเมือง จึงถูกข้าศึกมอญ-ทมิฬ เข้าโจมตี แตกพ่ายโดยง่าย ในขณะที่เมืองร้อยเอ็ด ถูกโจมตี ทหารส่วนหนึ่งได้ออกต่อสู้กับกองทัพมอญ-ทมิฬ เพื่อให้ไพร่พลส่วนหนึ่งสามารถอพยพออกไปยังดินแดนอื่นๆ ไพร่พลเมืองร้อยเอ็ด บางส่วน ได้หลบหนีไปตั้งรกรากอยู่ในท้องที่แห่งหนึ่ง ต่อมา จึงมีชื่อเรียกว่า ศรีสระเกตุ คือท้องที่ จ.ศีรษะเกตุ ในปัจจุบัน นั่นเอง
ส่วนไพร่พลอีกส่วนหนึ่ง ได้อพยพไปตั้งรกราก ที่ แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) บริเวณ ท่าดอนร้อยเอ็ด ท้องที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน และต่อมา ไพร่พลกลุ่มเมืองร้อยเอ็ด-เจ็ดเมือง ได้ไปรวมตัวกันที่ โรงนกหงส์ ใช้เป็นสโมสร ปรึกษาหารือ ร่วมกัน และได้สร้างวัดขึ้นมา ในบริเวณพื้นที่ สโมสร เรียกว่า วัดสโมสร สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
กำเนิด บ้านดอนพด ที่เมืองศรีโพธิ์ พ.ศ.๑๑๙๖
ตำนาน บ้านดอนพด วัดดอนพด และ ทุ่งชนโค ต.เวียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน กล่าวว่า เมื่อข้าศึกมอญ-ทมิฬ ส่งกองทัพเข้ายึดครอง อาณาจักรอีสานปุระ และ แว่นแคว้นต่างๆ ที่ปกครองโดยราชวงศ์ชนชาติอ้ายไต แห่ง อาณาจักรญวนโยนก ได้เรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มส่งกองทัพเข้ารุกรานเมืองด้านนอก ของ อาณาจักรละโว้ และ อาณาจักรอู่ทอง ประชาชนในกรุงอู่ทอง หรือ กรุงราชคฤห์ ดั้งเดิม ก็ถูกมหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง รับสั่งให้เดินทางอพยพ ไปด้วย กลุ่มขุนหลวง แห่ง กรุงอู่ทอง(ราชบุรี) ได้อพยพไปตั้งรกรากที่บริเวณ บ้านดอนพด อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน
มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ได้รับสั่งมอบหมายให้ พวกขุนหลวง กรุงอู่ทอง ให้ไปตั้งรกรากอยู่ที่ บ้านดอนพด ได้มอบให้ทำ เชือกพดมะพร้าว เพื่อนำไปใช้ทำ เชือกระโยงเรือ ของเรือสำเภา เพื่อสนับสนุน การสร้างกองทัพเรือสำเภา เพิ่มเติม บริเวณท้องที่ดังกล่าว จึงถูกลำเลียง พดมะพร้าว มากองไว้เป็นจำนวนมาก เป็นที่มาให้ท้องที่บริเวณดังกล่าวของ อ.ไชยา ในปัจจุบัน จึงถูกเรียกกันว่า บ้านดอนพด สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ต่อมาเมื่อลูกหลานของพวกขุนหลวง อดีตขุนนาง กรุงอู่ทอง(ราชบุรี) เติบใหญ่ ขึ้น และถึงเวลาที่ต้องบวชเรียน ชาวบ้านดอนพด จึงได้ร่วมกันมอบที่ดินส่วนหนึ่ง เพื่อสร้าง วัดดอนพด ขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ศึกษาเล่าเรียนของลูกหลานขุนหลวง ท้องที่บริเวณ บ้านดอนพด ยังถูกพวกขุนหลวง จากกรุงอู่ทอง ได้สร้าง สนามชนโค และ สนามชนควาย ขึ้นมาแห่งแรก ในท้องที่บริเวณ บ้านดอนพด ด้วย ท้องที่ดังกล่าวจึงถูกเรียกว่า ทุ่งชนโค สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
กำเนิดท้องที่ปากหมาก พ.ศ.๑๑๙๖
พระยาสำโรง มาจากเมืองสมุทรปราการ ได้รับมอบหมาย ให้นำไพร่พลไปจัดหาก้อนหิน มาส่งมอบให้กับ พระยาเสือ เพื่อใช้สร้างเป็นกำแพงพระราชวังหลวง จึงได้นำไพร่พล ไปจัดหาก้อนหิน ในบริเวณท้องที่ ต.ปากหมาก อ.ไชยา ในปัจจุบัน เพื่อลำเลียงมาสร้างกำแพงพระราชวังหลวง ให้สำเร็จตามหมายกำหนด เป็นที่มาให้ พระยาสำโรง ต้องเร่งรัดไพร่พล และเกณฑ์ไพร่พล เพื่อมาร่วมกันปฏิบัติงานมากขึ้น
พระยาสำโรง จึงต้องพูดเพื่อการสั่งการงานต่างๆ มาก และขุมขู่จะลงโทษไพร่พล ผู้ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ซึ่งเป็นที่มาให้ประชาชนเรียกชื่อ พระยาสำโรง ในชื่อใหม่ในภาษาท้องถิ่นภาคใต้ ว่า พระยาปะหมา(ปากมาก) และ พระยาปะหมอ(ปากหมอ) หมายถึงพูดจาเป็นคนหัวหมอ ไม่ยอมประนีประนอม จึงเป็นที่มาให้ พระยาสำโรง พูดจาด่ากลับ ประชาชนผู้ชอบพูดจาเสียดสี ว่า ผู้พูดคือ ปะหมัน(ปากมัน) หมายถึง ปากของประชาชนผู้พูด คือปากของชนชาติมอญ-ทมิฬ ซึ่งเป็นที่มาให้ มีการเรียกชื่อท้องที่ ต.ปากหมาก ในท้องที่ อ.ไชยา ว่า ที่ปะหมา(ปากมาก) และเพี้ยนเป็น ปากหมาก สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
กำเนิดท้องที่โมถ่าย พ.ศ.๑๑๙๖
ท่ามกลางภาวะสงครามที่มีประชาชนอพยพเข้ามาที่เมืองศรีโพธิ์ เป็นจำนวนมาก มีประชาชนส่วนหนึ่งถ่ายอุจจาระ โดยไม่ขุดหลุมกลบ จึงอาจเกิดโรคระบาดได้ ท้าวอู่ทอง มีคำสั่งให้ผู้อพยพต้องขุดหลุมเมื่อจะถ่ายอุจจาระ และต้องกลบหลุม ทุกครั้ง แต่มีประชาชนส่วนหนึ่งไม่ยอมปฏิบัติตาม ท้าวอู่ทอง จึงรับสั่งให้ รวบรวมประชาชนที่ถ่ายอุจจาระ แล้วไม่ขุดหลุมกลบ ให้ไปตั้งรกรากในท้องที่ใหม่ เพื่อป้องกันโรคระบาด เป็นที่มาให้มีการเรียกชื่อท้องที่ดังกล่าวว่า โม่ถ่าย และเพี้ยนมาเป็น โมถ่าย ในปัจจุบัน
กำเนิดท้องที่ ท่าเสาธง พ.ศ.๑๑๙๖
พระยาพร เป็นทหารรักษาพระองค์ ของ ท้าวอู่ทอง ได้รับมอบหมายให้มาช่วยสร้างพระราชวังหลวง อยู่ที่ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) เกาะดอนขวาง ขณะนั้น เป็นภาวะสงคราม ขาดแคลนเสื้อผ้า อย่างรุนแรง พระยาพร จึงไม่สามารถตอบสนองเสื้อผ้าให้กับ ทหารราชองค์รักษ์ ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ ดังนั้นเสื้อผ้าที่ได้รับมาใหม่ พระยาพร ต้องตอบสนองเสื้อผ้าให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ก่อน จนกระทั่งตนเองมีเสื้อผ้าสวมใส่เหลืออยู่ ขาดรุ่งริ่ง มีเพียงเสื้อผ้า ปกปิดอวัยวะเพศ เท่านั้น
ต่อมา มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) มอบหมายให้ พระยาพร ไปสร้างท่าเรือ และ สร้างเสาธง ขึ้นที่ท่าเสาธง บริเวณ ปากอ่าวศรีโพธิ์(ปากคลองท่าปูน ในปัจจุบัน) เพื่อใช้เป็นท่าเรือจอดเรือสำเภา โดยมอบหมายให้นำธงชาติ ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ปีนขึ้นไปติดตั้งบนยอดเสาธง ชั่วคราว เพื่อให้ผู้อพยพหนีภัยสงคราม สามารถสังเกต ได้ง่าย พระยาพร จึงต้องปีนเสาธง ขึ้นไปติดตั้งธงชาติ บนปลายเสาธงจนสำเร็จ ทำให้เสื้อผ้า ขาดไม่พอเพียงที่จะปิดอวัยวะเพศ
เหตุการณ์ครั้งนั้น พระยาพร เกรงว่า ถ้าลงมาจากเสาธง จะอับอายขายหน้า ขุนนาง และบ่าวไพร่ ทั้งหลาย และเป็นที่อับอายของ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ที่ทหารองค์รักษ์ไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ จึงตัดสินใจทิ้งร่างลงมาจากยอดเสาธง เสียชีวิต ทันที ที่โคนเสาธง บริเวณท่าเสาธง ดังกล่าว ประชาชนที่นิยมบวงสรวงเซ่นไหว้ พ่อตาพร จึงนิยมนำเสื้อผ้าใหม่ๆ ไปถวายให้กับ พ่อตาพร ในพิธีกรรมบวงสรวงเซ่นไหว้ ทั้งบริเวณท่าเสาธง และบริเวณ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) สืบทอดต่อเนื่องกันมา จนถึงปัจจุบัน
ตำนาน ทุ่งเซเคย สถานที่ผลิตกะปิ ให้กับประชาชน เมืองศรีโพธิ์(ไชยา) พ.ศ.๑๑๙๖
นายพัน เคยรับราชการเป็นทหารเรือ ในกองทัพของ พระยาพาน มาก่อน จนกระทั่ง มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ขึ้นครองราชย์สมบัติ เป็น มหาจักรพรรดิ ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กรุงอู่ทอง พ่อตาพัน ได้บวชเรียน และมารับราชการจนกระทั่งมีตำแหน่งเป็น พระยาพัน จึงได้ไปเป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองหนึ่ง ในดินแดน แคว้นหนองหาร(อุดรธานี) จนกระทั่งถูกข้าศึกมอญ ตีเมืองแตก จึงต้องหลบหนี อพยพผ่านความตายมาจาก ดงเทพสถิต จนสามารถเดินทางมาถึง เกาะดอนขวาง แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) และได้มารายงานตัวต่อ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน)
เมื่อ พระยาพัน เดินทางมาถึง อาณาจักรชวาทวีป ได้มาตั้งรกรากอยู่ที่ แม่น้ำหลวง(แม่น้ำตาปี) กลายเป็นชาวประมง หากินอยู่ในแม่น้ำหลวง จนกระทั่ง มีความเชี่ยวชาญในการออกเรือทะเลหาปลา หากุ้งเคยเพื่อทำกะปิ มาก่อน ต่อมา พระยาพัน ทราบว่า มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) อพยพไพร่พล มาตั้งรกราก สร้างฐานที่มั่นอยู่ที่ เกาะดอนขวาง จึงขอเข้าเฝ้า อาสาเข้าร่วมแก้ไขปัญหาให้กับบ้านเมือง จึงต้องอพยพ มาตั้งรกรากใหม่ ที่ท่าดอนร้อยเอ็ด แล้วนำไพร่พล ไปจัดหากุ้งเคย เพื่อทำกะปิ ใช้เป็นเสบียงกรังที่ ทุ่งเซเคย ทำหน้าที่ ทำกะปิ ส่งมอบให้ผู้อพยพ ซึ่ง พระยาพัน เคยมีความเชี่ยวชาญในท้องที่ดังกล่าว มาก่อน
เมื่อมหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ได้มาสร้างพระราชวังหลวงขึ้นมาใหม่ ณ บริเวณ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) เกาะดอนขวาง พระยาพัน ซึ่งมีความสามารถในการคำนวณ บวกลบคูณหาร ตัวเลข อย่างคล่องแคล่ว จึงได้รับมอบหมายจาก มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง ให้นำไพร่พล ออกหาปลา หากุ้งเคย ในทะเล เพื่อนำมาใช้เป็นเสบียงอาหาร ให้กับผู้อพยพ หนีภัยสงคราม มายังเมืองศรีโพธิ์(ไชยา)
พระยาพัน สามารถจัดไพร่พล ออกทะเลหาปูปลา และจัดแบ่งให้กับผู้อพยพ ได้อย่างเป็นธรรม เนื่องจาก พระยาพัน มีความสามารถในการคำนวณคิดเลขในใจ ในการ บวก ลบ คูณ หาร ในการแบ่งอาหาร กุ้ง ปู ปลา ได้อย่างเป็นธรรม อีกทั้งยังเป็นผู้รู้จักถนอมอาหาร มาใช้ในภาวะสงคราม ได้เป็นอย่างดี ต่อมา พระยาพัน ได้เสียชีวิตในสงครามแย่งช้าง จึงได้รับการยกย่อง เรื่อยมา ประชาชนจึงได้ทำการเคารพนับถือ และบวงสรวงเซ่นไหว้ พ่อตาพัน สืบทอดต่อเนื่อง มาจนถึง ปัจจุบัน
กำเนิด บ้านนาหลวง พ.ศ.๑๑๙๖
พระยาศรีทอง เป็นขุนนาง ของ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) เป็นเสนาบดี รับผิดชอบในการบริหารงานดูแล กระทรวงเกษตรกรรม(กระทรวงนา) ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ตั้งแต่เมืองนครหลวงตั้งอยู่ที่ กรุงอู่ทอง(ราชบุรี) เป็นผู้ส่งเสริมการปลูกข้าวหอม และสร้างสวนผลไม้สาธารณะ ขึ้นทั่วทุกแว่นแคว้น ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ
ต่อมาเมื่อเกิด สงครามแย่งนาง สงครามทุ่งไหหิน และ สงครามแย่งม้า เสนาบดีพระยาศรีทอง จึงต้องอพยพครอบครัว และ ไพร่พล มาตั้งรกรากอยู่ที่ ดอนพระยาศรีทอง เกาะดอนขวาง พระยาศรีทอง จึงได้รับมอบหมายจาก มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ให้เร่งรัดส่งเสริมการทำนา และการปลูกพืชอื่นๆ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนเสบียงอาหาร ให้กับผู้อพยพหนีภัยสงคราม
ในระยะแรกๆ เสนาบดี พระยาศรีทอง ได้นำไพร่พลร่วมกัน ขุดนาพระยา และ นานางพระยา และได้เร่งสร้างท้องนาหลวง และ สร้างระบบชลประทาน เพื่อการทำนา จนเป็นผลสำเร็จ สามารถทำนาอย่างได้ผล มีพันธ์ข้าว ไปแจกจ่ายให้กับผู้ที่เดินทางอพยพมายัง แคว้นศรีโพธิ์(ไชยา) สามารถทำนาได้ปีละ ๒ ครั้ง สามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนเสบียงอาหาร เป็นผลสำเร็จ และสามารถสร้างเส้นทางสายนาหลวง ซึ่งใช้เดินทางจาก บริเวณ พระราชวังหลวง ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) ไปยัง ท้องนาหลวง ระยะทางประมาณ ๒ กิโลเมตร เป็นผลสำเร็จ อีกด้วย
ต่อมา จักรพรรดิเจ้าพระยาศรีธรรมโศก ได้ส่ง เจ้าชายศรีวิชัย ซึ่งเป็นพระราชโอรส ให้นำไพร่พล ไปร่วมสร้างเส้นทางระหว่าง พระราชวังหลวง ของ แคว้นศรีโพธิ์ บริเวณวัดเวียงในปัจจุบัน มายัง ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) ซึ่งเป็นที่ตั้งพระราชวังหลวง ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ บริเวณเกาะดอนขวาง ร่วมกับ พระยาศรีทอง เป็นผลสำเร็จ อีกด้วย
เส้นทางสายนี้ เดิมเรียกว่า เส้นทางสายศรีวิชัย (ปัจจุบันถูกตั้งชื่อใหม่ เรียกว่า ถนนสันติมิตร) เริ่มต้นจากบริเวณ สามแยกวัดเวียง ตรงไปยังพระราชวังหลวง ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ โดยอ้อมโค้ง พระราชวังหลวง ไปทางทิศตะวันออก ของ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) ไปจดกับ เส้นทางสายตาหาร เป็นผลสำเร็จ ดังนั้น เมื่อ เสนาบดี พระยาศรีทอง ถึงแก่อนิจกรรม จึงมีการสร้าง ศาลพระยาศรีทอง ขึ้นมาในบริเวณ ทุ่งพระยาศรีทอง ซึ่งประชาชน นิยมบวงสรวงเซ่นไหว้ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ตำนาน พระยาลาวสูง ให้กำเนิดชื่อ ภูเขาน้ำร้อนพ่อตาลาวสูง พ.ศ.๑๒๐๑
ก่อนที่จะสิ้นสุด สงครามแย่งม้า แม่ทัพพระยาสูง แห่งอาณาจักรลาว กรุงเวียงจันทร์ ได้หนีทัพ ของ พระยากาฬดิษฐ์ เดินทางมาตามหา เจ้าพระยาไชยฤทธิ์ มหาราชา แห่ง อาณาจักรลาว กรุงเวียงจันทร์ ที่ แคว้นศรีพุทธิ(คันธุลี) เป็นเหตุการณ์ในขณะที่ เจ้าพระยาไชยฤทธิ์ สวรรคต เรียบร้อยแล้ว และเป็นช่วงเวลาที่ มีการจัดงานพระบรมศพ เจ้าพระยาไชยฤทธิ์ ที่พระราชวังไทรขุนฤทธิ์ แคว้นศรีพุทธิ(คันธุลี) พอดี
แม่ทัพพระยาสูง ได้มีโอกาสพบกับ พระนางสิยา มเหสี ของ เจ้าพระยาขุนไชยฤทธิ์ จึงได้แจ้งถึงการก่อกบฏ ต่อ ราชวงศ์มอญ-ทมิฬ แห่ง อาณาจักรอีสานปุระ ของตนเอง ต่อ พระนางสิยา ซึ่งเป็นที่มาให้ พระนางสิยา มีพระราชสาสน์ ถึง เจ้าพระยาศรีไชยนาท ให้รวบรวมไพร่พล ชนชาติอ้ายไต จาก อาณาจักรอ้ายลาว ที่ถูกจับไปเป็นเชลยศึก ให้มาทำสงครามปราบปราม ชนชาติอ้ายไต ให้ร่วมกันหนีทัพ จาก กองทัพมอญ-ทมิฬ ในสงครามที่ แคว้นนาลองกา โดยได้หนีไปร่วมสร้าง เมืองกุย(กุยบุรี) สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนการสร้าง พระราชวังพระนางสิยา หรือ พระราชวังนางตะเคียน นั้น มีผลมาจาก แม่ทัพพระยาสูง อดีตแม่ทัพของ เจ้าพระยาไชยฤทธิ์ ซึ่งหนีการจับกุม ของ ข้าศึก มาได้ ต้องการเดินทางไปสร้าง เมืองกุย(กุยบุรี) แต่พระนางสิยา เหนี่ยวรั้งไว้ ทั้งนี้เพราะ มีผู้ที่ต้องการให้ เจ้าพระยาศรีชัยนาท มาครอบครอง พระราชวังไทรขุนฤทธิ์ แทนที่ แต่พระนางสิยา ไม่เห็นชอบด้วย เพราะ พระนางสิยา ทราบว่า เจ้าพระยาศรีไชยนาท มีความสามารถ ในสงครามกองทัพม้า แต่พระนางสิยา ต้องการให้ เจ้าพระยาศรีไชยนาท เป็นผู้เชี่ยวชาญในการรบด้วยกองทัพเรือ ด้วย เพื่อเตรียมกอบกู้ดินแดนสุวรรณภูมิ กลับคืน จึงมอบหมายให้ แม่ทัพพระยาสูง เดินทางไปสำรวจพื้นที่ เกาะเรือ ในพื้นที่ อ่าวศรีโพธิ์ เพื่อสร้างพระราชวังที่ประทับให้กับ เจ้าพระยาศรีไชยนาท ซึ่งเป็นที่มาของ พระราชวังพระนางสิยา ในเวลาต่อมา
เนื่องจาก หลังสิ้นสุดสงครามแย่งม้า เจ้าพระยาศรีไชยนาท ต้องเป็นหัวหน้าคณะราชทูต เดินทางไปสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต กับประเทศจีน เมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๑๙๘ พระนางสิยา จึงถือโอกาส สร้างพระราชวังขึ้นมาบนพื้นที่ เกาะเรือ อ่าวศรีโพธิ์ มีชื่อว่า พระราชวังพระนางสิยา หรือ วังแม่นางตะเคียน เพื่อให้เป็นที่ประทับ และเป็นที่ว่าราชการของ เจ้าพระยาศรีไชยนาท เป็นเหตุให้ พระยาลาวสูง ต้องนำไพร่พล ไปพัฒนาพื้นที่ ขุดคูน้ำจืด เพื่อทดน้ำจืด จากน้ำพุถ่วง ใกล้ภูเขาน้ำร้อน มาใช้ในพระราชวัง เป็นที่มาให้ภูเขาน้ำร้อนในพื้นที่ดังกล่าว ถูกเรียกชื่อใหม่ว่า ภูเขาน้ำร้อนพระยาลาวสูง แทนที่
ต่อมา เมื่อ พระยาลาวสูง ร่วมสร้างพระราชวังพระนางสิยา สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เกิดสงครามแย่งช้าง พระยาลาวสูง เสียชีวิต ณ ภูเขาน้ำร้อนพระยาลาวสูง ดวงวิญญาณ ของ พ่อตาพระยาลาวสูง จึงสิงสถิต อยู่ที่ภูเขาดังกล่าว เป็นที่เคารพ ของ ประชาชน สืบทอดต่อเนื่อง มาจนถึงปัจจุบัน