ย้อนประวัติศาสตร์ ๕๐๐๐ ปี นอกพงศาวดารไทย:สหราชอาณาจักรเทียนสน
ความเป็นไปใน พ.ศ.๕๙๕-๖๙๓
ตอนที่ ๖
สถานการณ์ด้านอาณาจักรอ้ายลาว
ตั้งแต่ช่วงสหราชอาณาจักรเทียน จนย่างเข้าสู่เวลาของสหราชอาณาจักรเทียนสน เรากล่าวสรุปโดยภาพรวมได้ว่า สหราชอาณาจักรหนันเจ้า ของชนชาติอ้ายไต ค่อย ๆ อ่อนแอลงจนอยู่ในสภาวะ "เกือบล่มสลาย" โดยเฉพาะจากผลการทำสงครามของขุนศึกม้าหยวน แม้จะมีหลายแว่นแคว้นของสหราชอาณาจักรหนันเจ้าแต่ดั้งเดิมได้ผนวกรวมเข้ามาอยู่ในระบบการปกครองของสหราชอาณาจักรเทียนและเทียนสนก็ตาม...
สำหรับสหราชอาณาจักรเทียนสนในช่วงต้นนั้น จากการค้นคว้าของ เสนีย์อนุชิต ถาวรเศรษฐ ประกอบด้วย ๑๑ อาณาจักร ได้แก่ อาณาจักร แมนจูเจ้า (มะละกา), อาณาจักรตาโกลา (ตรัง), อาณาจักรชวาทวีป (ภาคใต้ตอนบน), อาณาจักรนาคฟ้า (กรุงราชคฤห์), อาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ (นครพนม), อาณาจักรพิมาย (นครราชสีมา), อาณาจักรคามลังกา (บริเวณคาบเกี่ยวไทย-กัมพูชา-ลาว), อาณาจักรยวนโยนก (หลวงพระบาง), อาณาจักรเก้าเจ้า (เวียดนามในตอนเหนือ),อาณาจักรหูหลำ (เกาะไหหลำ), อาณาจักรนาคน้ำ...โดยในที่นี้ไม่ได้รวมอาณาจักรอ้ายลาว ซี่งได้ยอมเป็นเมืองขึ้นของจีน และยังมีอาณาจักรไตจ้วง (ถูกจีนเข้ายึดครอง) เช่นเดียวกับอาณาจักรไทยใหญ่ (ฉานก๊ก) รวมทั้ง อาณาจักรแมนสรวง ได้ยอมตนอยู่ในอารักขาของมหาอาณาจักรจีน...
ในบรรดา ๑๑ อาณาจักรของสหราชอาณาจักรเทียนสนได้แบ่งออกเป็น ๔ กลุ่มรัฐใหญ่ ประกอบกันดังต่อไปนี้
๑) กลุ่มรัฐนาคน้ำ อาณาจักรแมนจูเจ้า อาณาจักรตาโกลาและยังคงต้องนับรวมอาณาจักรนาคนํ้า ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์กลางอำนาจรัฐ ได้แก่ แคว้นเทียนสน ไว้ด้วย (ทรรศนะของผู้เรียบเรียง)
๒) กลุ่มรัฐนาคฟ้า อาณาจักรชวาทวีป, อาณาจักรนาคฟ้า, อาณาจักรคามลังกา และ อาณาจักรยวนโยนก
๓) กลุ่มรัฐนาคดิน อาณาจักรศรีโคตรบูรณ์, อาณาจักรพิมาย
๔) กลุ่มรัฐหนันเจ้า อาณาจักรหนันเจ้า, อาณาจักรเก้าเจ้า, อาณาจักร
หูหลำ
ในรัชสมัยของมหาจักรพรรดิท้าวเทียนสน (ขุนโชก) ซึ่งถือว่ายังครอบคลุมช่วงเวลาของสหราชอาณาจักรเทียน ตรงกันกับรัชสมัยของฮ่องเต้ ฮั่นเม่งตี้ แห่งมหาอาณาจักรจีน ...ก็เป็นที่รับทราบกันดีอยู่แล้วจากการนำเสนอของผู้เรียบเรียงมาหลาย ๆ ช่วง ทางฝ่ายจีนได้เริ่มงานดำเนินการแยกสลาย แยก สลายอาณาจักรย่อย ๆ ของหนันเจ้าซึ่งยังเหลืออยู่ โดยใช้ตราพระราชลัญจกรหรือตราหยกประจำฮ่องเต้เป็นเครื่องมือ ด้วยข้อเสนอให้อาณาจักรเป้าหมายที่จีนต้อง การแยกสลายเป็นแว่นแคว้นในความคุ้มครองของจีน มีข้ออ้างว่าเป็นหลักประกัน ที่จะไม่ทำสงครามต่อกัน ขณะนั้น "อาณาจักรอ้ายลาว"และ "อาณาจักรไทยใหญ่" มิได้เป็นอาณาจักรใต้ระบบการปกครองของสหราชอาณาจักรเทียนสน จึงเป็นช่องว่าง ไมใช่เรื่องยากเย็นอะไรที่จะดำเนินการแยกสลายตามแผนการของเหล่าปัญญาชนลัทธิขงจื๊อ...
จีนมีแผนการเช่นนั้นต่อการเข้าหาในระยะแรก ๆ ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้ใช้ความชาญฉลาด เอาเงื่อนไขที่ว่าตนเองเลื่อมใสนับถือศาสนาพุทธ เข้าไปใช้ในการสร้างความสัมพันธ์ แต่ครั้นภายหลังแว่นแคว้นหรืออาณาจักรเหล่านั้นยินยอมพร้อมใจรับเงื่อนไข กลายเป็นรัฐภายใต้การอารักขา ฝ่ายจีนก็เริ่มพลิกเกม สร้างเงื่อนไขใหม่ ให้รัฐใต้อารักขาจะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการหรือจัดเก็บภาษีต่าง ๆ เช่น ภาษีเกลือให้ส่งมอบเป็นรายได้แก่จีน ...อาณาจักรอ้ายลาวคงเป็นเป้าหมายแรก ๆ ถูกดำเนินการด้านวิเทโศบายเช่นนั้นที่เต็มไปด้วยความแยบยล...
มีหลักฐานจดหมายเหตุของจีนระบุถึงเหตุการณ์เมื่อ พ.ศ.๖๑๒ เกี่ยวกับ อาณาจักรอ้ายลาว โดยมีความน่าสนใจว่า "...ปีที่ ๑๒ ในรัชกาลฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้ (พ.ศ.๖๑๒) ฮ่องเต้ได้ส่งคณะราชทูตเข้าไปเจริญสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรอ้ายลาว คณะราชทูตมีรายงานว่า ขณะนั้นอาณาจักรอ้ายลาวมีขุนนางอยู่ ๗๗ คน พลเมือง ๕๑,๘๙๐ ครอบครัว รวมเป็นประชากรทั้งหมด ๕๕๓,๗๑๑ คน ได้หันมานับถือ ศาสนาพุทธแล้ว ..มีมหาราชาปกครอง นามว่ามหาราชาท้าวขุนไล.."
หลักฐานจากจดหมายเหตุจีนดังกล่าว ชี้ชัดเห็นได้ว่าอาณาจักรอ้ายลาว ของสหราชอาณาจักรหนันเจ้า ได้นับถือพระพุทธศาสนาก่อนหน้ามาเป็นเวลาไม่น้อย กว่า ๒๐๐ ปี ซึ่งเชื่อได้ว่าศาสนาพุทธนั้นผ่าน เผยแพร่เข้าไปทางรัฐนาคดิน และ อาณาจักรสุวรรณโคมคำ
การที่ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้แสร้งหันมาสนใจพระพุทธศาสนาและลงทุนตัวเอง นับถือศาสนาพุทธ ก็เพี่อให้ฝ่ายตรงข้ามตายใจ พร้อมทั้งสันนิษฐานได้ถึงเจตนา ต้องการยุติสงครามระหว่างจีน-สหราชอาณาจักรเทียนสน ซึ่งจะคอยส่งกองทัพเข้า หนุนช่วยสหราชอาณาจักรหนันเจ้า และอาจกลายเป็นผลของสงครามที่ยืดเยื้อ ในเหตุผลอีกด้านนั้นเสนีย์อนุชิตได้ให้ข้อสันนิษฐานไว้ว่า "...ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้ความต้อง การที่จะศึกษาถึงอิทธิพลและคำสั่งสอนต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนาที่เป็นผลอย่างสำคัญ ทำให้ฝ่ายสหราชอาจักรเทียนสนสามารถใช้ปกครอง ผนวกเอาแว่นแคว้น ต่าง ๆ เข้าร่วมอยู่ด้วยกันหลายอาณาจักรและยังมีความเป็นปึกแผ่นอีกด้วย โดยไม่มีรายการเกิดสงครามระหว่างกัน ชาวประชาทั่วไปก็มีความสุข มีศีลธรรมต่อกันดี..." ในที่นี้เรายังอาจกล่าวเพิ่มเติมได้อีกว่าเป็นแผนการที่ลุ่มลึกมากของฮั่นม่งตี้ ...มีลักษณะพยายามรู้เขารู้เรา เดินตามสูตรการทหารในขั้นศิลปพิชัยยุทธชั้นเยี่ยม?
และจากการตรวจสอบหลักฐานต่าง ๆ ของเสนีย์อนุชิต ถาวรเศรษฐ ในระดับลึกลงไป ก็พบข้อเท็จจริงว่า ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้มีการมอบหมายให้ปัญญาชนลัทธิ ขงจื๊อได้ประยุกต์คำสั่งสอนของศาสนาพุทธขึ้นมาใหม่ กลายเป็นนิกายมหายาน ด้านหนึ่งเท่ากับสร้างความแตกต่างกับสหราชอาณาจักรเทียนสน แต่อีกด้านก็เท่ากับเป็นการสร้างลักษณะร่วมขึ้นมา? ทำให้อาณาจักรย่อย ๆ ของสหราชอาณาจักรหนันเจ้าเกิดหลงกล คิดว่าเป็นชนชาติที่นับถือศาสนาพุทธเหมือน ๆ กัน ยินยอมสมัครใจเข้าเป็นอาณาจักรภายใต้การอารักขา!
นี้เป็นสิ่งที่ชิ้ให้เห็นการดำเนินนโยบายตีสองหน้าของมหาอาณาจักรจีน เพื่อแยกสลาย แล้วเข้ายึดอำนาจการปกครอง ...จีนได้เดินนโยบายเช่นนี้จาก พ.ศ.๖๑๒ เมื่อมหาราชาขุนไล เป็นผู้ปกครองอาณาจักรอ้ายลาว กระทั่งเมื่อ พ.ศ.๖๑๘ ในสมัยของมหาราชาท้าวหงอ หรือ "หงอลาว" อาณาจักรอ้ายลาว ก็ยินยอมกลายเป็นประเทศในอารักขาของฝ่ายจีน ยอมรับเงื่อนไขของการมีพระราชลัญจกร ...แต่สุดท้ายแล้วจีนก็เริ่มบีบคั้น ทำการขูดรีดภาษีต่าง ๆ กระทั่งมหาราชา ท้าวหงอลาวไม่สามารถจัดเก็บภาษีตามกำหนดได้ จึงถูกประหารชีวิต ...กระทั่ง ประชาชนทั่วอ้ายลาวลุกฮือขึ้นต่อต้าน จีนยังใช้เป็นเงื่อนไข ส่งกองทัพรุกเข้า ทำสงครามเพื่อปราบปรามยึดครองทั้งอาณาจักร ระหว่าง พ.ศ.๖๑๘-๖๒๑ เกิดการรวมตัวของชาวอ้ายลาวกลายเป็นกองทัพโพกผ้าเหลือง ต่อสู้ขับไล่ฝ่ายจีน ภายใต้การนำของราชาเจ้าลาวจักร หรือ "ลาวจก"