ย้อนประวัติศาสตร์ ๕๐๐๐ ปี นอกพงศาวดารไทย:สหราชอาณาจักรเทียนสน
ความเป็นไปใน พ.ศ.๕๙๕-๖๙๓
ตอนที่ ๑๓
เมื่ออาณาจักรหนันเจ้าสิ้นสภาพ
บทเรียนประการหนึ่งที่ทำให้จีนสามารถรุกคืบเข้ายึดครองดินแดนจำนวนมากของอดีตสหราชอาณาจักรหนันเจ้า เอาเข้าไปผนวกไว้เป็นส่วนหนึ่ง เห็นจะได้แก่ การเดินหมากในสมัยฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้โดยแสร้งสนใจ ให้เข้าใจว่าศรัทธาในการนับถือ ศาสนาพุทธ เพี่อลวงให้เกิดการคิดว่าจีนนั้นเป็นพวกเดียวกันกับชาวอ้ายไตทั้งหลาย ...เป็นการอ้างถึงความเหมือนกันของการนับถือศาสนาพุทธ นี้เป็นกลยุทธ์ชี้ให้เห็น จากตัวอย่างของการเข้าจัดการกับอาณาจักรอ้ายลาว กล่าวคือเมื่อวางใจรู้สึกเป็น พวกเดียวกันก็ตามเข้าไปด้วยเรื่องรับตราพระราชลัญจกรจากฮ่องเต้ ชักจูงให้เข้าไปอยู่ภายใต้อำนาจความคุ้มครอง แล้วไปถึงขั้นตอนวางแผนจัดการขูดรีดภาษีอย่าง รุนแรง ผลักดันให้กลายเป็นเงื่อนไขเพื่อเข้าทำสงครามยึดครองดินแดนแบบเบ็ดเสร็จ อาณาจักรอ้ายลาวประสบเหตุต่าง ๆ ไปตามแผนการและขั้นตอนเช่นนี้ กระทั่งถูกยึดครอง จนเกิดสงครามกองทัพโพกผ้าเหลืองลุกฮือขึ้นมา
การเดินแผนลวงตั้งแต่แสร้งทำให้เข้าใจผิดว่าเลื่อมใสศรัทธาในศาสนาพุทธ นับว่าเป็นอีกบทเรียนที่เจ็บปวดสำหรับผู้คนเชื้อสายอ้ายไตทั่วไป รวมทั้งสหราชอาณาจักรหนันเจ้าด้วยเช่นกัน ...แต่อย่างไรก็ตามมันกลายเป็นประสบการณ์อันเลวร้ายของจีนเหมือนกัน ราชสำนักของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก จำต้องสูญเสีย กำลังพลไปอย่างมากมายนัก สำหรับการทำสงครามปราบปรามกองทัพโพกผ้าเหลือง หรืออีกความหมายนั้นเสนีย์อนุชิต ถาวรเศรษฐ ได้ใช้คำว่า "กองทัพชาวพุทธ" ซึ่งขณะนั้นเป็นสมัยของฮ่องเต้ฮั่นจางตี้...
แต่ละฝ่ายนั้นย่อมมีความเจ็บปวดจากบทเรียนของตัวเอง จึงต้องมีการสรุปบทเรียน ดังเราจะเห็นว่าจีนในสมัยต่อมาซึ่งเป็นรัชกาลของฮ่องเต้ฮั่นฮัวเง้า ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง เช่น มีความพยายามที่จะแยกสลาย หรือดึงแว่นแคว้นภายใต้ระบบการปกครองของสหราชอาณาจักรเทียนสนออกไป เป็นวิธีแยกสลายแล้วเข้าปกครอง แต่ไม่ใชวิธีขูดรีดภาษีกันตามลักษณะเดิม ๆ
กลุ่มขันทีจีนและปัญญาชนนิยมลัทธิขงจื๊อ ร่วมวางแผนการ "ลวง" อีก ครั้งใหญ่" มีเป้าหมายไปยังแว่นแคว้นและอาณาจักรต่าง ๆ ของสหราชอาณาจักร หนันเจ้าที่มีภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่ห่างไกลไปจากศูนย์กลางอำนาจรัฐ บีบให้ดินแดน ต่างๆ เหล่านั้นยินยอมสยบสวามิภักดิกับอำนาจของฝ่ายจีน ให้ยินยอมพร้อมใจ โดยดีเพื่อจะได้ไม่ต้องสร้างเวรกรรม ก่อเป็นสงครามสู้รบต่อกัน ...แผนการไม้นี้ของจีนก้าวหน้า จัดส่งคณะราชทูตเข้าไปสานไมตรี ค่อย ๆ แยกสลายออกมาทีละ แว่นแคว้น ..เป็นมาตรการหรือกุศโลบายบ่อนเซาะทำให้ฝ่ายสหราชอาณาจักรหนันเจ้าอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ซึ่งหากย้อนรอยไปพิจารณาถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า ก่อน พ.ศ.๒๐๕ ด้วยซํ้าไปที่ชนชาติอ้ายไตถูกกระทำจากฝ่ายจีนด้วยวิธีการต่าง ๆ อพยพเข้าสู่ดินแดนสุวรรณภูมิระลอกแล้วระลอกเล่า หนันเจ้าในฐานะคู่สงครามกับจีน ตลอดมาเป็นเวลายาวนาน ย่อมจะทานทนได้ยากนัก ถูกใช้กันตั้งแต่ไม้แข็งจนลวงเป็นไม้อ่อน ซึ่งในมุมมองของผู้เขียนยังเห็นว่าฝ่ายผู้นำของชนชาติอ้ายไตในดินแดนหนันเจ้า ไม่ค่อยสรุปบทเรียนของตัวเอง กลายเป็นถูกฝ่ายจีนล่อลวงครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จนถึงสมัยรัชกาลฮ่องเต้ฮั่นฮัวเง้า ทางมหาอาณาจักรจีน โดยแนวคิดของปัญญาชนขงจื๊อและเหล่าขุนนางขันทีจีนที่มีอิทธิพลเรืองอำนาจอยู่ในขณะนั้น ก็ยังล่อลวงไปในรอยแผนการเดิม ๆ ที่ประยุกต์ให้เหมาะสมและลึกซึ้งขึ้นมาบ้าง จัดส่งคณะราชทูตเข้าไปกล่อมให้ยอมร้บตราพระราชลัญจกร แล้วลวงให้ส่งคณะทูตไปเฝ้าฮ่องเต้จีน พร้อมส่งเครื่องราชบรรณาการถวาย ...สหราชอาณาจักรหนันเจ้าแทบไม่เหลืออะไรเลย เพราะการถูกลวงด้วยแผนการลักษณะนี้?
เราอาจยกตัวอย่างในจดหมายเหตุจีนที่ระบุไว้ดังนี้ "...ในปีแรกของฮ่องเต้ ฮั่นอันเต้ (พ.ศ.๖๖๓) มีราชทูตจากแคว้นสาวอ๋อง (อาณาจักรหูหลำ) ได้นำเครื่องราชบรรณาการมาถวายให้แก่ฮ่องเต้ พร้อมกับมีนักดนตรี นักฟ้อนรำและนักมายากลที่เดินทางมาจากอินเดีย มาร่วมแสดงความยินดีแก่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ยังพระราชวังอีกด้วย..."นั่นเป็นเพียงเหตุการณ์ตัวอย่างเดียวของปี พ.ศ.๖๖๓ ครั้งที่ฮั่นอันเต้ ถูกครอบความคิดโดยเหล่าผู้นำขันที จัดส่งคณะราชทูตเข้าไปติดต่อกับ อาณาจักรหูหลำ เพื่อลวงให้อาณาจักรไหหลำได้ส่งทูตเข้าไปเจริญสัมพันธไมตรีกับจีน ถวายเครื่องราชบรรณาการ บนพื้นฐานเหตุผลที่อ้างไว้ว่า มหาอาณาจักรจีน จะได้ไม่ต้องส่งกองทัพเข้ารุกรานต่อไป?
มีข้อน่าสังเกตใหญ่อีกประการว่าปัญญาชนนิยมลัทธิขงจื๊อและพวกเหล่าขุนนางขันที ถือว่ามีอิทธิพลสูงมาก ครอบงำและชี้นำทางนโยบายต่อราชสำนักฮั่นได้ แม้กระทั่งย้อนกลับเข้าใปในรัชกาลฮ่องเต้ฮั้นฮัวเง้า หรีอ "ฮั่นเหอตี้" ยังมี หลักฐานพงศาวดารราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ได้บันทึกถึงเรื่องราวของชนชาติต่าง ๆ ในด้านภาคตะวันตกเฉียงใต้ของแผ่นดินจีน ซึ่งตอนนั้นฮ่องเต้อยู่ในวัยเพียง ๑๙ พรรษา เป็นฮ่องเต้ที่ถูกพวกขุนนางขันทีครอบงำเอาไว้ เป็นช่วงประวัติศาสตร์ ของจีนก่อนเวลาการแตกแยกแบ่งออกมาเป็น ๓ ก๊ก ...ยังมีบันทึกในพงศาวดาร ดังกล่าวนั้นว่า อาณาจักรไทยใหญ่ หรือ "ฉานก๊ก" ซึ่งเป็นอาณาจักรหนึ่งของ สหราชอาณาจักรหนันเจ้า ได้มีการยอมรับตราพระราชลัญจกร กลายเป็นเพียงรัฐใต้การอารักขาของมหาอาณาจักรจีน?
ในงานสรุปเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของเสนีย์อนุชิต ซึ่งยังเผยแพร่อยู่ในขอบเขตจำกัด (มีนาคม ๒๕๕๒) เขาได้กล่าวถึงเรื่องราวตรงนี้ อ้างอิงจากข้อเท็จจริงตามหลักฐานว่า "...มีหลักฐานเกี่ยวกับอาณาจักรไทยใหญ่ (ฉานก๊ก) ระบุถึงราชาสตรีเป็นผู้ปกครองอาณาจักรไทยใหญ่ ได้จัดส่งคณะราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศจีน เป็นไปตามแผนการของขุนนางจีน บันทึกดังกล่าวมีเนี้อหาใน ตอนหนึ่งว่า...
"ในปีที่เก้าของรัชสมัยฮ่องเต้ฮั่นฮัวเง้า (พ.ศ.๖๔๐) พระราชาสตรีแห่ง ฉานก๊ก (อาณาจักรไทยใหญ่) มีพระนามว่า "ยงยู" ได้จัดส่งเครื่องราชบรรณาการ ไปถวายให้แก่ฮ่องเต้ฮั่นฮัวเง้า ฮ่องเต้จึงทรงพระราชทานตราตั้ง (ตราหยก) ให้ แก่พระราชาสตรีแห่งฉานก๊ก มีตำแหน่งเป็นอ้ายสาวอ๋อง พร้อมกับถวายเครื่องราชบรรณาการ เป็นการตอบแทนกลับคืน...." หลักฐานความสัมพันธ์ทางการทูต ดังกล่าว เป็นการแสดงให้เห็นว่า การที่สหราชอาณาจักรเทียนสน กรุงโพธิ์นารายณ์ (ยะลา) ได้นำศาสนาพุทธ นิกายเถรวาท เข้าไปเผยแพรในประเทศจีน เป็นการสร้างวัฒนธรรมของชนชาติอ้ายไตให้เกิดเอกภาพ ทำให้เป็นพลังที่สามารถยึดครองดินแดนแว่นแคว้นดั้งเดิมกลับคืนมาได้มากมาย พร้อมกับเกิดสงครามการปราบปรามจากกองทัพประเทศจีน เป็นสงครามที่ต่อเนื่อง เกิดปัญหา จนฮ่องเต้ของจีน หลาย ๆ พระองค์ ต้องระดมปัญญาชนที่นิยมลัทธิขงจื๊อ ให้เข้ามาเสริมงานทาง ด้านปัญญาและค้นคว้าศึกษา แสวงหายุทธศาสตร์ วิธีการต่าง ๆ เพี่อทำการสงคราม กับฝ่ายสหราชอาณาจักรเทึยนสนต่อไป..."
อย่างไรก็ตามคงมีประเด็นต้องกล่าวเพิ่มเติมอยู่บ้างในปัญหาเกี่ยวกับอ้ายสาวอ๋อง ถ้าเราศึกษาถึงผลงานของนักประวัติศาสตร์สายตะวันตก ซึ่งมักจะตั้งเรื่อง ไปจากจดหมายเหตุจีน ระบุเอาไว้ว่า "อ้ายสาวอ๋องก๊ก" นั้นเป็นอีกรัฐหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย ข้อนี้เป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ในเรื่องรัฐของชนชาติอ้ายไต ในดินแดนสุวรรณภูมิ เพราะจากการตรวจสอบหลักฐานซํ้า ๆ กัน ได้พบความ จริงว่าประเทศจีนได้ทำการเรียกชื่ออาณาจักรหูหลำไปอีกอย่างว่า "อ้ายสาวอ๋องก๊ก"
การที่จีนได้พยายามทำสงครามยึดครองอาณาจักรหูหลำมาโดยต่อเนึ่อง แม้กษัตริย์ที่เป็นบุรุษได้เสียชีวิตลงไปหมด แต่เชื้อพระราชวงศ์ที่เป็นสตรีก็ยังสามารถกลายเป็นผู้นำ บริหารจัดการ เป็นผู้นำในการต่อสู้ได้ ยืนหยัดต่อกรกับกองทัพจีนมาโดยตลอด จึงทำให้ฮ่องเต้จีนยกย่องสตรีในเกาะไหหลำว่ามีความสามารถสูงกว่าผู้ชาย เลยทำให้เรียกชื่ออาณาจักรหูหลำไปอีกอย่างว่า "อ้ายสาวอ๋องก๊ก"
ที่ยกประเด็นนี้มากล่าวถึง คงไม่ได้ประสงค์อะไร? เพียงเล่าและโยงเอาไว้เป็นเกร็ดความรู้ พร้อมทั้งเชื่อมโยงวกกลับไปหา "ตำแหน่งอ้ายสาวอ๋อง" ที่ ฮ่องเต้จีนแต่งตั้งให้แก่ "พระราชาสตรียุงยู" ของ "ฉานก๊ก" อาจเป็นสิ่งที่ทำให้ เราเข้าใจได้ว่า ฝ่ายจีนนั้นมีธรรมเนียม ถ้อยคำคอยยกย่องสตรีผู้มีความสามารถ อยู่จริง เรียกว่า "อ้ายสาวอ๋อง"
ตั้งแต่พ.ศ.๖๔๐ คงเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า อาณาจักรไทยใหญ่ (ฉาน ก๊ก) ได้ยินยอมสวามิภักดิ์กับจีน ปลดปล่อยตัวเองออกไปจากสหราชอาณาจักร หนันเจ้า ...ทำให้หนันเจ้าแทบหมดสภาพ อ่อนแอลงเต็มทนเหลือเพียงอาณาจักรหนันเจ้า จนต้องเลิกรูปแบบการปกครองในระบบสหราชอาณาจักรลงไปเสียสิ้น มีแว่นแคว้นของตัวเองเหลือเพียง ๓ แคว้นเท่านั้น ได้แก่ แคว้นยืนนาน,แคว้น หนองแสและแคว้นสิบสองพันนา
อย่างไรก็ตามความอ่อนแอจนแทบล่มสลายของหนันเจ้าที่เหลืออยู่เพียง ๓ แว่นแคว้น ก็มิได้หมายความว่าชนชาติอ้ายไตที่เหลือจะยอมสยบให้กับ มหาอาณาจักรจีน การดิ้นรนและลุกฮือต่อสู้ในดินแดนอดีตสหราชอาณาจักรหนันเจ้า ยังคงเกิดขึ้นต่อไปในรัชสมัยของพระมหากษัตริย์องค์ต่อ ๆ มา แห่ง สหราชอาณาจักรเทียนสน....