ย้อนประวัติศาสตร์ ๕๐๐๐ ปี นอกพงศาวดารไทย:สหราชอาณาจักรเทียนสน
ความเป็นไปใน พ.ศ.๕๙๕-๖๙๓
ตอนที่ ๑๗
แนวรบอีกด้านจากทะเลใต้
รัชสมัยของมหาจักรพรรดิเจ้าชินราช ตรงกับสมัยของฮ่องเต้อานตื้(พ.ศ.๖๔๙-๖๗๒) รวมทั้งฮ่องเต้ฮั่นหัวตี้ (พ.ศ.๖๗๒-๖๘๘) สถานการณ์ในแผ่นดินจีนไม่ดีนัก เต็มไปด้วยความระส่ำระสายและการสู้รบ โดยเฉพาะในบริเวณดินแดนหรือสมรภูมิ ซึ่งจีนเคยเข้าทำสงครามในการยึดครองแว่นแคว้นต่าง ๆ ของชนชาติอ้ายไต ...สถานการณ์ช่วงนี้มีความกดดันรุนแรง ฝ่ายจีนถือจังหวะโอกาสกระทำการรีดนาทาเร้น ขูดรีดภาษีจากชาวพื้นเมืองอ้ายไตอย่างหนักและไร้เหตุผล พื้นฐานปัญหาดังนี้เอง กลายเป็นเงื่อนไขหรือสภาววิสัย กระตุ้นให้กองทัพโพกผ้าเหลืองฟื้นตัวกลับมาอีกหน!
กองทัพโพกผ้าเหลือง หรือ "กองทัพชาวพุทธ" ซึ่งมีต้นกำเนิดไปจาก อาณาจักรอ้ายลาว แล้วขยายตัวเข้าไปสู่ดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน กลายเป็นเชื้อประทุอย่างดีในอาณาจักรเสฉวน (แคว้นสู่-แคว้นปา) ซึ่งเป็นแผ่นดินดั้งเดิมของสหราชอาณาจักรหนันเจ้า
เสนีย์อนุสิต ถาวรเศรษฐ กล่าวถึงการจัดตั้งเริ่มต้นของกองทัพโพกผ้าเหลืองในแผ่นดินเดิมแห่งสหราชอาณาจักรหนันเจ้าว่า "...เป็นการเริ่มต้นจากเชื้อสายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต นำชาวนาเพียงไม่กี่พันคนออกมาต่อสู้จนพัฒนากลายเป็นกองกำลังจำนวนเป็นหมื่น ๆ ...เหตุการณ์ของความไม่สงบจึงเกิดขึ้นและขยายตัวแผ่ออกไปในหลาย ๆ แว่นแคว้น เป็นเวลาที่ยาวนานต่อเนื่อง ...ทางราชสำนักจีนมีความไม่พอใจสหราชอาณาจักรเทียนสน เพราะถือว่าอยู่เบื้องหลังในการสนับสนุน กองทัพโพกผ้าเหลืองโดยตรง..."
สถานการณ์ในดินแดนอาณาจักรเกษียรสมุทร ได้แก่ เกาะชวากับสุมาตรา ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน ภายหลังจากดินแดนดังกล่าวนี้ตกอยู่ในสภาพเป็นเมืองขึ้นของสหราชอาณาภารตะ (อินเดีย) มาเป็นเวลายาวนานมาก ...แต่จากแผนการยุให้แยกของฮ่องเต้อานตี้ ที่ให้การหนุนหลังผ่านบรรดาพวกขุนนางและพ่อค้าชาวจีน สามารถปั่นสถานการณ์ให้เกิดการพลิกผันได้ "...ชนชาติทมิฬที่ตั้งรกรากอยู่ในหมู่เกาะกาละ (ชบาตะวันออก/สุมาตรา) ได้ก่อการกบฏขึ้น ขอแยกตัวออกไปจากการปกครองของอินเดีย" ซึ่งบางข้อมูลก็บอกว่าแยกออกไปจากสหราชอาณาจักรเทียนสน ...นี้เป็นการเดินเกมของมหาอาณาจักรจีนที่ประสบความสำเร็จในการใช้ชนชาติทมิฬมาเป็นเครื่องมือในการขยายอำนาจของฝ่ายตน?
มีข้อมูลประวัติศาสตร์บันทึกเอาไว้ว่า "...พ.ศ.๖๗๘ มหาอาณาจักรจีนประสบผลสำเร็จ สามารถยุให้เจ้าชายมังเคร ชนชาติกลิงค์จากเกาะชวา หรือ "อาณาจักรชบาตะวันออก" ได้ยกทัพเข้ายึดครองบางส่วนของดินแดนในสุวรรณภูมิ โดยส่งกองทัพเข้ายึดอำนาจกษัตริย์แห่งแคว้นชวากะรัฐ แล้วทำการเปลี่ยนชื่อเสียใหม่เป็นแคว้นกลิงค์รัฐ จับตัวของราชามอญ มาสำเร็จโทษ ...จากนั้นประกาศตั้งตนเป็นกษัตริย์ พระนามว่าพระเจ้ามังเครไม่ยินยอมขึ้นกับอำนาจรัฐของสหราชอาณาจักรเทียนสน..ซึ่งเหตุการณ์เมื่อ พ.ศ.๖๗๘-๖๗๙ กล่าวว่าสหราชอาณาจักรเทียนสนก็ยังไม่รู้ถึงข้อมูลข่าวสารจริงๆ คงเข้าใจไปแต่เพียงว่าเป็นเหตุการณ์ความขัดแย้งเพียงเรื่องพ่อตากับลูกเขยเท่านั้นเอง..."
ย้อนกลับไปสมัยฮ่องเต้อานตี้ (พ.ศ.๖๔๙-๖๗๒) พระองค์ทรงไม่พอพระทัยเป็นอย่างมากต่อสหราชอาณาจักรเทียนสน จากการที่เป็นผู้สนับสนุนกองทัพโพกผ้าเหลืองให้ลุกฮือขึ้นกอบกู้เอกราชของชนชาติอ้ายไตในแผ่นดินที่จีนยึดครองอยู่ ...อานตี้เดินแผนลึกและใช้เวลาพอสมควร เริ่มจากจัดส่งคณะราชทูตเข้าไปติดต่อกับรัฐของชนชาติทมิฬในดินแดนหมู่เกาะกาละ (สุมาตรา) รวมทั้งบรรดารัฐอื่น ๆ ของชนชาติกลิงค์ในหมู่เกาะพระกฤต (ชบาตะวันออก-ชวา)
ฝ่ายจีนนั้นเดินแผนให้ชนชาติทมิฬและกลิงค์เข้าไปร่วมมือกับแคว้นชวากะรัฐหรือแคว้นรัฐกลิงค์มอญ (คันธุลี) เพื่อให้เข้าทำสงครามยึดครองดินแดนแคว้นชวากะรัฐของสหราชอาณาจักรเทียนสน
ชนชาติทมิฬและกลิงค์ ให้ความร่วมมือกับแผนการของจีน เพราะมีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ในทางด้านการค้า ...จีนเดินเกมนี้เพราะเล็งเห็นว่าจะเป็นการกดดันสหราชอาณาจักรเทียนสนอย่างได้ผล เพื่อจะได้ให้ถอนกำลังจากการสนับสนุนกองทัพโพกผ้าเหลืองออกไปจากแผ่นดินชาวอ้ายไต ซึ่งจีนกำลังยึดครอง...
งานค้นคว้าของเสนีย์อนุชิต ถาวรเศรษฐ กล่าวถึงเหตุการณ์ในช่วงนี้ว่า ....ผลการผลักดันของจีน ทำให้รัฐของชนชาติทมิฬจากหมู่เกาะกาละ ได้ส่งกองทัพในเวลาต่อมาเข้ายึดครองดินแดนสุวรรณภูมิของสหราชอาณาจักรเทียนสน บริเวณชายฝังทะเลตะวันตก ณ ภูเขาพระนารายณ์ (พังงา) ซึ่งเรียกกันว่ารัฐเวียตบก
รวมทั้งชนชาติทมิฬจากสุมาตรา ซึ่งนำโดยเจ้าชายมันตัน อันเป็นต้นราชวงศ์แท้จริงของกษัตริย์เขมร โดยเป็นกบฏที่หลบหนีมาจากอินเดียใต้ ...และในระยะเวลาต่อมาเจ้าชายมันตันก็สามารถรวบรวมชาวทมิฬเป็นไพร่พลได้สำเร็จ ตั้งตนขึ้นปกครองยังได้ส่งกองทัพเข้าไปยึดครองดินแดนฝั่งขวาของแม่นํ้าโขง บริเวณทะเลอ่าวแม่โขงของแคว้นจุลนี (หลินยี่) โดยบริเวณดังกล่าว ก็คือดินแดนฝังตะวันออกของกัมพูชาในปัจจุบัน!
เจ้าชายมันตันเดินตามเกมของจีน แล้วสร้างรัฐใหม่ขึ้นมา เรียกว่า "รัฐมันตัน" กลายเป็นรัฐซ้อนขึ้นในดินแดนของสหราชอาณาจักรเทียนสน นอกจากนั้นยังกวาดต้อนชนพื้นเมือง "เผ่านางนาค" หรือชนพื้นเมืองแขกดำ ภายในบริเวณอาณาจักรคามลังกาเอาเข้ามาปกครอง...
ส่วนอีกด้านนั้นสำหรับชนชาติกลิงค์ โดยกองทัพของพระเจ้ามังเคร ก็เข้ายึดครองแคว้นชวากะรัฐดังที่กล่าวถึงข้างต้น ซึ่งรัฐหรือแคว้นดังกล่าวเป็นของ "ชนชาติมอญ" ถือเป็นแว่นแคว้นหนึ่งในสังกัดของอาณาจักรชวาทวีป แห่งรัฐนาคฟ้า ของสหราชอาณาจักรเทียนสน พระเจ้ามังเครก็ยังได้ พระนางมอญ ราชธิดาของกษัตริย์มอญมาเป็นมเหสีอีกด้วย....
แผนการของจีนเป็นไปดั่งคาดคิด สามารถกดดันให้สหราชอาณาจักรเทียนสน จำถอนกำลังจากการสนับสนุนกองทัพโพกผ้าเหลือง เพื่อเข้ามาเตรียมความพร้อมตั้งรับศึกในดินแดนสุวรรณภูมิ ...พ.ศ.๖๗๘ นั้นเอง มหาอาณาจักรจีน สมัยส่องเต้อานเต้ หรือ "ฮั่นอันเต้" โดยฝีมือของกลุ่มขุนนางก๊กแซ่เหลียงถือโอกาสในขณะที่ฝ่ายสหราชอาณาจักรเทียนสนมีศึกสงครามทั้งกับกลิงค์และทมิฬ ส่งกองทัพเข้ายึดครองอาณาจักรไตจ้วงอีกครั้ง ...และในอีกปีต่อมา พ.ศ.๖๗๙ ทางอาณาจักรจุลนี (เวียดนาม) ยังได้พยายามส่งกองทัพเข้ายึดครอง แคว้นตาเกี๋ยในอาณาจักรไตจ้วง หวังยึดกลับคืนมาแต่คงถูกตีโต้โดยกองทัพของขุนนางก๊กแซ่เหลียง ทำให้ต้องถอนทัพกลับสู่อาณาจักรจุลนี หันไปจัดตั้งกองทัพโพกผ้าเหลือง ทำการสู้รบในสภาพเป็นสงครามกองโจร....
มีบันทึกอยู่ในจดหมายเหตุจีน ระบุถึงเรื่องราวใน พ.ศ.๖๘๐ ได้มีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นในตาเกี๋ย เพราะเจ้าจูเหลียน ผู้เป็นราชาแห่งแคว้นจุลนี (เวียดนาม) อันเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรเทียนสน ได้นำทัพโพกผ้าเหลืองเข้าโจมตีเมืองเซียงหลินของ "แคว้นตาเกี๋ย" ที่ถูกฝ่ายจีนยึดครองเอาไปก่อนหน้าไม่นานนัก กระทั่งฮ่องเต้จีนต้องส่งกองทัพเข้ามาขับไล่ ทำให้ราชาเจ้าจูเหลียนต้องถอยกลับไปยังจุลนี...
สถานการณ์ในช่วงเวลานั้น อาจสรุปได้ว่าสหราชอาณาจักรเทียนสน ต้องเผชิญกับศึก ๓ หน้าพร้อม ๆ กัน ทั้งจีน-ทมิฬและกลิงค์?
นอกจากนั้น พวกชนชาติกลิงค์จากชวากะรัฐ (แคว้นกลิงค์มอญ) ที่เข้าผสมเผ่าพันธุ์กับเชื้อชาติทมิฬได้สร้างเป็นแคว้นรามัญ ขึ้นมาในดินแดนแถบจังหวัดระนองปัจจุบัน ได้ฉวยโอกาสจัดส่งกองเรือรบเข้ายึดครองแคว้นกลิงค์พัง (กระบี่) ซึ่งเป็นเมืองท่าหรือสถานีทางการค้าที่สำคัญอีกแห่งของชายฝั่งทะเลด้านตะวันตก โดยหวังจะยึดครองเอาไว้เป็นท่าเรือในงานค้าขายของชนชาติกลิงค์ นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ.๖๗๘-๖๗๙ กลายเป็นเหตุให้กองทัพของอาณาจักรตาโกลา(ตรัง) เข้าทำสงครามขับไล่ แต่หักไม่ลงคงทำได้เพียงการปิดล้อมเอาไว้...
ความเหิมเกริมของชนชาติกลิงค์ จากแคว้นรามัญที่ร่วมมือกับแคว้นกลิงค์พัง (กระบี่-พังงา) นั่นเป็นเหตุผล ทำให้มหาจักรพรรดิเจ้าชินราชต้องสั่งให้ขุนเชียง ถอนกองทัพออกมาจากอาณาจักรยวนโยนกเชียงแสน กลับเข้าไปทำสงครามขับไล่ กองทัพของชนชาติกลิงค์เมื่อประมาณ พ. ศ. ๖๙๙-๖๘o ขุนเชียงนำทัพเข้าถล่มกลุ่ม ชนชาติกลิงค์ล้มตายเป็นอันมาก ยึดแคว้นกลิงค์พัง (กระบี่-พังงา) กลับคืนมาได้ สำเร็จ....
ภายหลังขุนเชียงประสบชัยชนะจากสงคราม มหาจักรพรรดิเจ้าชินราช ทรงนำต้นโพธิ์ทองไปปลูกไว้ แล้วเปลี่ยนชื่อแคว้นนั้นเสียใหม่ จากแคว้นกลิงค์พัง (กระบี่-พังงา) กลายมาเป็นโพธิ์กลิงค์พัง ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และในหลักฐานจีนก็เรียกว่า "โฮลิงพัง" ถือเป็นเมืองสำคัญ สถานีทางการค้าของฝังทะเลตะวันตกโดยติดต่อค้าขายกับอินเดีย นอกเหนือจากเมืองท่าในแคว้นตาโกลา (ตรัง)
นี้ยังพอเป็นเกล็ดให้เห็นความเป็นมาของรัฐไทยโบราณ เรามีระบบการค้ากับต่างประเทศมายาวนานมากกว่า ๒,๐๐๐ ปี มันจึงไม่ใช่เรื่องอะไรที่น่าตื่นเต้นนักสำหรับการค้นพบลูกปัดสุริยเทพในแถบคลองท่อมของจังหวัดกระบี่ ในปัจจุบัน...