ย้อนประวัติศาสตร์ ๕๐๐๐ ปี นอกพงศาวดารไทย:สหราชอาณาจักรเทียนสน
ความเป็นไปใน พ.ศ.๕๙๕-๖๙๓
ตอนที่ ๒๒
กำเนิดแคว้นพนมสายรุ้ง
ตำนานท้องที่ต่าง ๆ มิใช่เรื่องที่เลื่อนลอยในการใช้เป็นเบาะแสเพื่อสอบทาน เทียบเคียงข้อมูลทางประวัติศาสตร์กับหลักฐานอื่น ๆ เท่าที่จะแสวงหาได้หลายอย่างนั้นก็ปรากฏเป็นความสอดคล้องในการหาข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ แคว้นพนมสายรุ้ง ซึ่งใช้เบาะแสเริ่มต้นจากตำนานความเป็นมาของชื่อท้องถิ่นและตำนานความเป็นมาของการสร้างแคว้นพนมสายรุ้ง เสนีย์อนุสิต ถาวรเศรษฐ ใช้วิธีรวบรวมข้อมูลความเป็นมาของชื่อท้องถิ่นต่าง ๆ จากกลุ่มผู้สูงอายุภายในพื้นที่ เขามีข้อสังเกตอย่างหนึ่งว่า มีข้อมูลที่สอดคล้องกันมาก แต่ก็ไม่อาจไปตรวจสอบกับหลักฐานให้ชัดเจนไปมากกว่านั้น คงพอมีอยู่บ้างบางหลักฐานทำให้พบว่าเหตุการณ์นั้นน่าจะเกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ.๖๘๑-๖๘๘ กระทั่งได้มีการวิเคราะห์ถึงเหตุการณ์อย่างจริงจังในภายหลังต่อ ๆ มา จึงสันนิษฐานได้ว่า "น่าจะเป็นเหตุการณ์จริง เกิดขึ้น ประมาณ พ.ศ.๖๘๒..."
ในการสร้างแคว้นพนมสายรุ้ง ซึ่งเป็นแว่นแคว้นแห่งใหม่ของรัฐนาคฟ้า มีความเป็นมาต่อเนื่อง หลังจากขุนเทียนชนะสงครามที่กระทำในรัฐทมิฬมันตัน (เขมร) ดินแดนยึดครองของชนชาติทมิฬ ดังมีรายละเอียดนำเสนอในบทก่อนหน้า จากนั้นก็ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาของรัฐเวียตบก ซึ่งชนชาติทมิฬจากเกาะกาละได้ส่ง กองทัพเข้ามาโจมตีและยึดครองเอาไว้อยู่ในบริเวณภูเขาพระนารายณ์ (พังงา) เพื่อตั้งรัฐของชนชาติทมิฬอยู่ด้านทิศตะวันตกของภูเขาศก นอกจากนั้นรัฐเวียตบก ยังกวาดต้อนชนพื้นเมืองเผ่าชวากะเข้าไปหักล้างถางพง ยึดครองดินแดนเพิ่มขึ้นในทิศทางตะวันออกของภูเขาศก
การขยายตัวเช่นนี้ของรัฐเวียตบก ถือว่าเป็นภัยและคุกคามได้ต่อหลาย ๆ แว่นแคว้นของอาณาจักรชวาทวีป เป็นต้นว่า แคว้นโกสมพี (ไชยา) แคว้นโพธิสาร (พุนพิน) แคว้นรามัญ (ระนอง) แคว้นตาโกปา (ตะกั่วปา) และแคว้นโพธิกลิงพังค์ (กระบี่) รวมทั้งแคว้นตาโกลา (ตรัง) ของรัฐนาคน้ำ
โดยการตระหนักเช่นนี้ ทำให้อุปราชขุนเทียนขับเคลื่อนทัพเข้าขับไล่ชนชาติทมิฬเหล่านั้นให้ออกไปพ้นจากดินแดน แล้วได้ระดมไพร่พลเข้าสร้างบ้านแปงเมือง ขึ้นมาเพิ่มเติม กลายเป็นเมืองพนมสายรุ้ง อยู่ในท้องที่ปัจจุบันของอำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี แล้วกระจายไพร่พลออกไปสร้างบ้านเมืองอื่น ๆ ขึ้นมาเป็นเครือ ข่ายเมืองบริวาร ทั้งเมืองนาสาร, เมืองพระแสง และเมืองเวียงสระ ยกฐานะความสำคัญกลายเป็นแว่นแคว้นแห่งใหม่ เป็นศูนย์กลางของปัญญาชนทดลองให้มีสภาตาขุนและสภาเจ้าตาขุน ซึ่งกลายเป็นรากฐานทางภูมิปัญญาต่อไปในสมัยของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ
แคว้นแห่งใหม่นี้ แต่เดิมเป็นป่าดงดิบ ขึ้นกับเขตพื้นที่ของแคว้นโพธิสาร (พุนพิน) ในการสร้างแว่นแคว้นดังกล่าวขึ้นมา แรกเริ่มคงต้องการให้มีสภาพเป็น รัฐกันชนกับรัฐเวียตบก ของชนเผ่าทมิฬและยังเกี่ยวข้องกับการทำสงครามสลาย รัฐเวียตบกลงไปด้วย ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ได้เขียนถึงเอาไว้ในบทก่อน ๆ
การทำสงครามขับไล่ทมิฬเวียตบก (คำว่า "เวียต" น่าจะแปลความหมายได้ว่า "ผู้รุกราน" ดังนั้นเวียตบกก็คือพวกผู้รุกรานอยู่บนแผ่นดินบก) ของอุปราชขุนเทียน ยังเกี่ยวข้องกลายเป็นที่มาของชื่อท้องถิ่นอย่างน่าสนใจ ...ชื่อบ้านนาสารคงมีตำนานเล่าขานว่าเมื่อขุนเทียนนำกองทัพออกไปขับไล่รัฐเวียตบก (พังงา) ให้ออกไปเสียจากดินแดนด้านตะวันตกของภูเขาศก บรรดาไพร่พลทั้งหลายจากเมืองนาสาร, เมืองพระแสงและเมืองเวียงสระ ได้ช่วยกันทำนาทำไร่เพื่อส่งเป็นเสบียงกรังให้แก่กองทัพของอุปราชชุนเทียน
ประชาชนในเมืองนาสารมีความรู้สึกเห็นใจทางกองทัพที่ต้องเผชิญศึกหนักกับโจรทมิฬเวียตบก อยากแบ่งเบาภาระของทหารที่กำลังสู้รบอยู่ จึงนำข้าวเปลือกเอามาตำเป็นข้าวสารส่งให้กองทัพโดยฝ่ายทหารไม่ต้องคอยตำข้าวเสียเอง ...นี้เป็นการอธิบายจากตำนานชื่อท้องที่ ชาวเมืองดังกล่าวจึงถูกขุนเทียนตั้งชื่อให้ว่า เมืองนาสารและยกย่องให้กลายเป็นแบบอย่างของชาวบ้านที่สนับสนุนกองทัพ ทำให้หมู่บ้านหรือเมืองอื่น ๆ ได้เจริญรอยตามโดยส่งเป็นข้าวสารแทนข้าวเปลือกสนับสนุนเสบียงกรังแก่กองทัพ นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา?
สำหรับพระแสงก็มีตำนานของการสู้รบ เกิดการปะทะหนักหน่วงในคราวหนึ่งระหว่างกองทัพของขุนเทียนกับทมิฬเวียตบก พวกทมิฬทำการรบอย่างบ้าคลั่ง ไม่กลัวตาย กระทั่งกลายเป็นสนามรบแบบประจัญบาน อุปราชขุนเทียนผู้ทำสงคราม โดยใช้ธนูเป็นหลักไม่เคยชักพระแสงประจำกายมาก่อน จำเป็นต้องชักพระแสง นำทหารเข้ารบชนิดตะลุมบอนกับข้าศึก กระทั่งได้รับชัยชนะ ...บริเวณท้องที่ของสมรภูมินั้นจึงถูกเรียกว่า "เมืองพระแสง" ในเวลาต่อมา เพื่อเป็นการยกย่องถึงความกล้าหาญในการสู้รบของขุนเทียนและกองทัพ
เมืองเวียงสระเช่นเดียวกันมีตำนานของชื่อท้องที่โดยตำนานเล่าว่าขณะที่พวกชาวบ้านกำลังเตรียมส่งเสบียงกรังป้อนให้แก่กองทัพ กำลังง่วนอยู่กับการตำข้าวเปลือก กองทัพโจรทมิฬเวียตบกได้บุกเข้ามา เกิดการเผชิญหน้าระหว่างนักรบทมิฬเวียตบกกับชาวบ้านทั้งหลาย พวกชาวบ้านนั้นใช้สากตำข้าวเป็นอาวุธเข้าจัดการข้าศึก ใช้วิธีเหวี่ยงสากตำข้าวทำลายศัตรู เมื่อภายหลังเกิดสร้างบ้านแปงเมืองกันขึ้นมา จึงเกิดเป็นชื่อเมืองเหวี่ยงสาก ทั้งนี้ถือเป็นการยกย่องความกล้าหาญของประชาชน กระทั่งภายหลังกร่อนคำไปตามสำเนียงไทยภาคใต้กลายเป็น "เวียงสระ"
ชนชาติทมิฬนั้น เดิมทีตั้งเป็นอาณาจักรใหญ่อยู่ในอินเดียใต้เช่นเดียวกับชนชาติกลิงค์ แต่ถูกพระเจ้าอโศกมหาราชทำสงครามปราบปรามใหญ่ ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.๒๗๗ จึงหลบหนีเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในดินแดนเกษียรสมุทร ทั้ง เกาะชวา-สุมาตรา อีกบางส่วนยังเข้ามาในดินแดนสุวรรณภูมิ ได้ก่อปัญหาความไม่สงบสุขขึ้นหลาย ๆ ครั้ง
สำหรับชนชาติทมิฬ ก็จะมีการเรียกชื่อเปลี่ยนแปลงไปตามกระบวนการพัฒนาของสงครามที่เกิดขึ้นติดต่อกันมา เช่น พวกที่เข้ามาตั้งรกรากบริเวณทิศตะวันตกของภูเขาศก (กระบี่-พังงา) จะถูกเรียกกันว่า "พวกเวียตบก"
ยังมีพวกที่ไปอาศัยอยู่ตามหมู่เกาะชวาจนถึงบอร์เนียว ก็จะถูกเรียกเป็น "โจรละน้ำ" บ้างเรียกว่า "โจฬะนํ้า" แต่คนไทยในยุคก่อนบางกลุ่มได้เรียกพวกนี้ว่า "เวียตน้ำ" และพวกทมิฬเวียตน้ำนี้เองในระยะต่อมาก็เข้ายึดครองแคว้น จามปา เข้าผสมเผ่าพันธุ์กับชนชาติอ้ายไตในแว่นแคว้นต่าง ๆ รวมทั้งผสมกับเชื้อสายอินเดียที่อยู่ในแคว้นจามปา กลายเป็นพื้นฐานของประชากรส่วนหนึ่งในประเทศเวียตนามปัจจุบัน
สำหรับหลักฐานจดหมายเหตุจีน เรียกพวกชนชาติทมิฬว่า "เจนละ (โจฬะ)" โดยแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่เจนละบก (เขมร) และเจนละน้ำ (บอร์เนียว) รวมจนถึงเวียตนาม สำหรับจดหมายเหตุอาหรับ จะเรียกโจรละนํ้าในหมู่เกาะเบอร์เนียวว่าศรีบูชา(ศรีโพธิ์ช้า) และเรียกโจรละบกเป็นกำบูชา (กำโพธิ์ช้า) ...นี้เป็นการเรียกที่หมายถึงพวกเชื้อสายชนชาติทมิฬที่เปลี่ยนแปลงไปตามกระบวนการพัฒนาต่าง ๆ
ในการอธิบายความเป็นมาของคำไทยโบราณที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ สงครามปราบเวียตบก ได้เกิดชื่อ "เมืองเวียงสระ" ต่อมาคำว่า "เวียง" ได้ถูกใช้ไปแทนคำว่า "เมือง" โดยมีความหมายมาจากประวัติศาสตร์ของท้องที่เวียงสระที่ประชาชนได้ร่วมต่อสู้กับพวกข้าศึกทมิฬเวียตบก จึงสื่อสารถึงความหมายของเวียงว่า "เมืองที่พร้อมต่อสู้กับข้าศึก" และมีอีกคำคือ "เชียง" ซึ่งมีความหมายว่า "เมืองที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จากผลของการทำลายของข้าศึก" และทั้งสองคำดังกล่าวในสมัยสหราชอาณาจักรคีรีรัฐ บรรดาเชื้อสายเจ้าอ้ายไต สายราชวงศ์ขุนเทียน ที่ได้ออกไปสร้างบ้านแปงเมืองทั่วดินแดนสุวรรณภูมิ ก็เอาคำว่าเวียง-เชียง ไปใช้นำหน้าชื่อเมืองในดินแดนอื่น ๆ ...เป็นเรื่องที่สืบต่อมาจากการยกย่องชาวเมืองเวียงสระ ...รวมทั้ง "ขุนเชียง" ผู้มีบทบาทฟื้นฟูอาณาจักรอ้ายลาว-อาณาจักรยวนโยนกเชียงแสน และเคยเป็นมหาราชาของอาณาจักรชวาทวีป...