บทที่-๑
เมืองไชยา สมัยชื่อ เมืองมิถิลา
รัฐชนชาติไทย สมัย อาณาจักรสุวรรณภูมิ ปีโลศักราช ๑ ถึง พ.ศ.๓๐๔ กำเนิดเมืองมิถิลา
เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเมืองไชยา ที่เคยมีชื่อว่า เมืองมิถิลา หรือ แมนที่ลา มาก่อน จึงขอสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับอาณาจักรสุวรรณภูมิ ดังนี้
ตำนานคำบอกเล่าของผู้สูงอายุที่เมืองคันธุลี เล่ากันว่า อาณาจักรสุวรรณภูมิ เกิดขึ้นเมื่อ ปีโลศักราชที่ ๑ คือเหตุการณ์เมื่อใด ยากที่จะตรวจหาหลักฐาน เป็นการเปลี่ยนแปลงจากการนำทองคำ ใส่ขันทอง ๑๐๐,๐๐๐ ขัน มาใส่โลผ้า แทนที่ เพราะทองคำที่คลองหิต หายากขึ้นเรื่อยๆ เล่ากันว่า ท้าวโกศล ควบคุมทองคำใส่โลผ้า ไปส่งมอบให้ท้าวกาน แห่ง อาณาจักรหนานเจ้า กรุงเฉินตู ที่เมืองทองแสนขัน แต่ทหารอาณาจักรไตหนานเจ้า ในดินแดนจีน ไม่ยอมรับทองใส่โลผ้า ดังกล่าว จึงเกิดการสู้รบกัน ฝ่ายท้าวโกศล เป็นฝ่ายชนะสงคราม จึงประกาศเอกราช ประกาศตั้งอาณาจักรสุวรรณภูมิ ขึ้นที่เมืองทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ ในปัจจุบัน เพื่อแยกตัวออกเป็นอิสระจาก มหาอาณาจักรหนานเจ้า ของ ชนชาติอ้ายไต เนื่องจาก ไม่พอใจที่ชนชาติอ้ายไต ในดินแดนสุวรรณภูมิ ถูกบังคับรีดไถให้ต้องส่งส่วย ทองคำ ปีละ ๑๐๐,๐๐๐ ขัน ให้กับ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ในช่วงเวลาดังกล่าว ราชธานี ของ อาณาจักรสุวรรณภูมิ ตั้งอยู่ที่ เมืองครหิต(คันธุลี)
ในปีโลศักราชที่-๑ นั้น ชนชาติอ้ายไตชนเผ่าหนึ่งคือ ชนเผ่าแมนจู ถูกชนชาติเจ๊ก รุกราน จึงอพยพทางเรือเข้ามาตั้งรกรากยังดินแดนสุวรรณภูมิ จำนวนมาก โดยเฉพาะในดินแดนอาณาจักรนาคน้ำ ตั้งอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิ ที่เป็นเกาะใหญ่ จึงมีชื่อแว่นแคว้นหลายแคว้นที่มีชื่อในสมัยโบราณว่า แคว้นแมนจูเจ้า เช่นแคว้นมาลายู เคยมีชื่อว่า แคว้นแมนจูเจ้าเก้า เป็นต้น ส่วนดินแดนสุวรรณภูมิแผ่นดินใหญ่ มีชนเผ่าแมนจู อพยพมาสร้างเมืองที่เมืองไชยา ในปัจจุบัน ชนชาติอ้ายไต ที่ตั้งรกรากมาก่อน จึงเรียกชื่อผู้อพยพว่า พวกแมนที่ลา เป็นที่มาของชื่อเมือง แมนที่ลา ต่อมาชาวอินเดีย ได้เรียกชื่อเมืองแมนที่ลา เพี้ยนเป็น เมืองมิถิลา เช่นเดียวกับที่ชาวอินเดีย เรียกชื่อ เมืองคลองหิต เพี้ยนเป็น เมืองครหิต นั่นเอง
เรื่องราวของ พระกฤษณะ ที่เกี่ยวข้องกับ เมืองมิถิลา
เรื่องราวของ เจ้าชายกฤษณะ คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ ๑,๐๐๐ ปี ก่อนพุทธกาล ขณะนั้น พญาฆา(พะยะคะ) มีอัครมเหสี ชื่อ พระนางเพฆา(เพคะ) เป็นมหาราชาปกครองอาณาจักรสุวรรณภูมิ มีราชธานีอยู่ที่ เมืองครหิต คือท้องที่ บ้านดอนธูป ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน จึงมีเรื่องราว ของ เจ้าชายกฤษณะ ส่วนหนึ่ง ได้เกิดขึ้นในดินแดนสุวรรณภูมิ และเพราะความเชื่อดังกล่าวได้ส่งผลต่อการสร้าง อาณาจักรสุวรรณภูมิ และ การนับถือศาสนาพราหมณ์ ของชนชาติอ้ายไต ในดินแดนสุวรรณภูมิ ในเวลาต่อมา และยังส่งผลต่อมา ให้รัฐของเชื้อสายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต สลักรูปเรื่องราวของ จตุคามรามเทพ ในภพชาติของ พระกฤษณะ ไว้ตามปราสาทต่างๆ ทั่วทั้งดินแดนสุวรรณภูมิ และเกิดการใช้พระพุทธศาสนา มาเป็นศาสนาประจำชาติ ในสมัยต่อๆ มา อีกด้วย
เรื่องราวของ พระกฤษณะ คือเรื่องราวของ ตำนาน ถ้ำพระกฤษณะ หรือ ถ้ำบ่อ ๗ แห่ง บริเวณภูเขาแม่นางเอ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน คือเรื่องราวส่วนหนึ่งของ ศาสนาพราหมณ์ ซึ่งนับถือพระเจ้า ๓ พระองค์ พระเจ้าองค์ที่หนึ่ง คือ พระพรหม ซึ่งยึดถือว่าเป็นผู้สร้าง พระเจ้าองค์ที่สอง คือ พระศิวะ หรือ พระอิศวร ซึ่งยึดถือว่าเป็นผู้ทำลาย และ พระเจ้าองค์ที่สาม คือ พระวิษณุกรรม หรือ พระนารายณ์(พระกฤษณะ) ซึ่งยึดถือว่าทำหน้าที่รักษาและคุ้มครองโลก ให้เกิดความสงบสุข
ตามตำนาน ถ้ำพระกฤษณะ ภูเขานางเอ มีเรื่องราวโดยสรุปว่า พระนารายณ์ จะอุบัติขึ้นในโลกเมื่อโลกเกิดยุคเข็ญ โดยจะเกิดมาเป็นภพชาติต่างๆ ซึ่งเรียกว่า อวตาล มาเป็นสิ่งมีชีวิต หรือเป็นมนุษย์ เช่นเชื่อว่า ภพชาติหนึ่ง ของ จตุคามรามเทพ เคยประสูติมาเป็น พระรามจันทร์ เรียกว่า รามาวตาล ซึ่งเป็นเรื่องราวของ รามเกียรติ์ เป็นภพชาติหนึ่ง ของ จตุคามรามเทพ และต่อมา จตุคามรามเทพ ได้ประสูติมาอีกภพชาติหนึ่งเป็น พระกฤษณะ เรียกว่า กฤษณาวตาล เพื่อทำการปราบยุคเข็ญ อีกภพชาติหนึ่ง
เนื่องจาก อาณาจักรสุวรรณภูมิ ในสมัยพระกฤษณะ นั้น อาณาจักรสุวรรณภูมิ ประกอบด้วย แคว้นนาคน้ำ(เกาะทอง) , แคว้นนาคฟ้า(ภาคใต้ตอนบน ภาคกลาง และ ภาคเหนือ) , แคว้นนาคดิน(ภาคอีสาน และ เขมร) และ แคว้นเหงียนก๊ก(เวียตนาม) เหตุการณ์ครั้งนั้น มีเมือง ๒ เมือง ของ แคว้นนาคฟ้า คือ เมืองสุธรรม(สิชล-ท่าศาลานครศรีธรรมราช) และ เมืองมิถิลา(ไชยา) ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับ พระกฤษณะ และเข้าไปเกี่ยวข้องกับ ดินแดนเกษียรสมุทร และ ประเทศอินเดีย ด้วย
พระกฤษณะ ประสูติที่ เมืองมิถิลา
เรื่องราวของ พระกฤษณะ คือเรื่องราวในวรรณกรรมพุทธศาสนา เรื่อง มหาชนกชาดก กล่าวโดยสรุปว่า มหาชนกกุมาร(พระกฤษณะ) เป็นพระราชโอรส ของ เจ้าชายวสุ(สังข์พราหมณ์) กับ พระนางเทวกี เนื่องจาก พระกฤษณะ มีพระเชษฐา ชื่อ เจ้าชายพลราม ขณะนั้น พระราชบิดา ของ เจ้าชายวสุ(สังข์พราหมณ์) ปกครองแว่นแคว้นแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย
ก่อนที่ เจ้าชายกฤษณะ และ เจ้าชายพลราม จะประสูติมานั้น เจ้าชายวสุ เป็นพระราชโอรส องค์โต มี เจ้าชายกงส์ เป็นพระราชโอรส องค์รอง ซึ่งต้องการแย่งชิงราชย์สมบัติ จาก เจ้าชายวสุ ซึ่งได้รับการโปรดเกล้าจากพระราชบิดา ให้เป็นผู้สืบทอดราชย์สมบัติ ปกครองแว่นแคว้นแห่งหนึ่ง ในประเทศอินเดีย เหตุการณ์ขณะนั้น เจ้าชายพลราม และ เจ้าชายกฤษณะ ยังมิได้ประสูติ
ต่อมา เมื่อพระราชบิดา ของ พญาวสุ เสด็จสวรรคต ทาง พญากงส์ ซึ่งเป็นพระอนุชา ของ พญาวสุ ได้แย่งชิงราชย์สมบัติ เป็นเหตุให้ พญาวสุ และ พระนางเทวกี ต้องนำไพร่พลอพยพหลบหนีมาอาศัยอยู่ที่ ดินแดนเกษียรสมุทร ณ เกาะอาเจ๊ะตะวันออก(เกาะชวา) ซึ่งเป็นที่ตั้งรกราก ของ ชนพื้นเมืองชาวป่าเขา ที่มีแต่ความโหดร้าย และยังถูก พญากงส์ ส่งกองทัพสืบค้นติดตามไล่ฆ่า อย่างต่อเนื่องอีกด้วย เป็นที่มาให้ พญาวสุ และ พระนางเทวกี ต้องนำไพร่พล อพยพมาตั้งรกราก ณ เมือง มิถิลา(ไชยา) หรือ เมืองแมนที่ลา หรือ เมืองมถุรา อาณาจักรสุวรรณภูมิ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ ของ เมืองครหิต(คันธุลี) ราชธานี ของ อาณาจักรสุวรรณภูมิ ประมาณ ๓๐ กิโลเมตร พญาวสุ ได้นำไพร่พลมาแสวงหาทองคำ เพื่อใช้เป็นทุนรอน ไปสร้างบ้านแปลงเมือง ณ ดินแดนเกษียรสมุทร ด้วย
ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ เมืองมิถิลา(ไชยา) พญาวสุ และ พระนางเทวกี ได้มาสร้างที่พักอาศัยอยู่บริเวณ ภูเขาพุทธทอง เชิงภูเขาแม่นางเอ บริเวณวัดสวนโมกข์พลาราม ท้องที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน ต่อมา พระนางเทวกี ได้ประสูติ เจ้าชายสองพี่น้อง คือ เจ้าชายพลราม และ เจ้าชายกฤษณะ ณ เชิงภูเขานางเอ เมืองมิถิลา
ชีวิตในวัยเยาว์ คนเลี้ยงโค ได้เป็นคนเลี้ยงดู เจ้าชายพลราม และ เจ้าชายกฤษณะ อย่างหลบๆ ซ่อนๆ อยู่บริเวณเชิงเขาแม่นางเอ เพื่อให้ปลอดภัยจากการติดตามไล่ฆ่า ของ พญากงส์ ส่วน พญาวสุ ได้แยกไปสร้างบ้านแปลงเมือง ณ เกาะชวา ดินแดนเกษียรสมุทร ปล่อยให้ พระนางเทวกี เลี้ยงดูพระราชโอรส ๒ พระองค์ อยู่กับคนเลี้ยงโค
ในขณะที่ พระกฤษณะ ทรงพระเยาว์ อาศัยอยู่ ณ เมืองมิถิลา(ไชยา) คือท้องที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี นั้น พระองค์เป็นเด็กซุกซุน น่าเอ็นดู โปรดการยั่วแหย่ และการเล่นสนุกสนาน ในช่วงเวลาเดียวกัน พระกฤษณะ ได้แสดงพละกำลังอำนาจ ให้ปรากฏพบเห็นตั้งแต่วันเด็ก อยู่เนืองๆ ขณะนั้น พญาฆิน เป็นราชา ผู้ปกครอง เมืองมิถิลา(ไชยา) พญากุวัลย์ปิยะ เป็นราชาปกครอง แคว้นสุธรรม ส่วน พญาฆา เป็นราชาปกครอง เมืองครหิต(คันธุลี)
ภูเขานางเอ ตั้งอยู่ในท้องที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีถ้ำพระกฤษณะ และ เจดีย์พระกฤษณะ ตั้งอยู่ที่ภูเขาแห่งนี้ด้วย และเกี่ยวข้องกับเรื่องราวพระราชประวัติ ของ พระกฤษณะ ด้วย
พระกฤษณะ เติบโตเป็นหนุ่ม พบรักกับ พระนางเมฆขลา
เมื่อเจ้าชายสองพี่น้อง คือ เจ้าชายพลราม และ เจ้าชายกฤษณะ เติบโตเข้าสู่วัยหนุ่ม จึงเสด็จกลับไปยัง เกาะอาเจ๊ะตะวันออก(เกาะชวา) ดินแดนเกษียรสมุทร เพื่อร่วมสร้างบ้านแปลงเมือง ต่อมา พญาวสุ มีความประสงค์จะแสวงหาโภคทรัพย์เพื่อใช้เป็นทุนรอนในการกอบกู้ราชย์สมบัติ กลับคืนมาจาก พญากงส์ เป็นเหตุให้ เจ้าชายกฤษณะ ขออาสาร่วมเดินทางไปกับคณะพ่อค้า เพื่อเดินทางไปเสี่ยงโชคหาทองคำยัง เมืองครหิต(คันธุลี) ดินแดนสุวรรณภูมิ
เจ้าชายกฤษณะ นำเรือแล่นออกจาก เมืองท่า เกาะอาเจ๊ะตะวันออก(เกาะชวา) ดินแดนเกษียรสมุทร พร้อมไพร่พล ระหว่างเดินทาง เรือถูกพายุพัดอับปางลง กลางทะเลใหญ่ เจ้าชายกฤษณะ ต้องว่ายน้ำด้วยความเพียรพยายาม มานอนสลบอยู่ ณ ชายหาดแห่งหนึ่ง ของดินแดน แคว้นสุธรรม(สิชล-ท่าศาลา) บริเวณ เมืองโมกข์คลาน ณ สถานที่ก่อสร้าง พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ในปัจจุบัน
ในช่วงเวลาเดียวกัน เจ้าหญิงเมฆขลา ซึ่งเป็นเจ้าหญิงเชื้อสายเจ้าอ้ายไต แห่ง แคว้นสุธรรม(สิชล-ท่าศาลา) ซึ่งเสด็จมายัง เมืองโมกข์คลาน คือบริเวณ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ในปัจจุบัน ได้เสด็จผ่านมาพบ เจ้าชายกฤษณะ โดยบังเอิญ และได้ช่วยชีวิตไว้ ความสัมพันธ์ ดังกล่าว ทำให้ เจ้าชายกฤษณะ กับ เจ้าหญิงเมฆขลา เกิดมีความรัก ระหว่างกัน และได้เสียกันในที่สุด จนกระทั่ง เจ้าหญิงเมฆขลา ทรงมีพระครรภ์
เจ้าหญิงเมฆขลา เกรงว่า พญากุวัลย์ปิยะ ราชาแห่งแคว้นสุธรรม พระราชบิดา ของ พระนาง จะทรงทราบ และทรงพระพิโรธ เป็นเหตุให้ เจ้าหญิงเมฆขลา ได้ไปกราบทูลลา สมเด็จย่า ให้ทรงทราบ จึงได้แนะนำให้ พระนางเมขลา หลบหนี จึงเป็นที่มาให้ เจ้าชายกฤษณะ ต้องนำ เจ้าหญิงเมฆขลา หลบหนี เดินทางมุ่งหน้ามายัง เมืองมิถิลา(ไชยา) ซึ่งเคยใช้ชีวิตในวัยเยาว์ เพื่อเดินทางไปแสวงหาทองคำ ณ เมืองครหิต(คันธุลี) ราชธานี ของ อาณาจักรสุวรรณภูมิ ตามเจตนารมณ์ ขณะนั้น พญาฆิน เป็นราชาปกครองเมืองมิถิลา(ไชยา) พญาฆา ปกครองเมือง ครหิต(คันธุลี)
สงครามระหว่างพระกฤษณะ กับ ราชาพญาฆิน และ ราชาพญากุวัล์ปิยะ
เมื่อ พญากุวัลย์ปิยะ กษัตริย์ แคว้นสุธรรม(สิชล-ท่าศาลา) ทรงทราบข่าว จึงแจ้งข่าวให้ พญากงส์ แห่งอินเดีย ซึ่งเป็นมิตรสหายรับทราบ เพื่อร่วมกันส่งกองทัพออกติดตามไล่ฆ่า เจ้าชายกฤษณะ ส่วนสมเด็จย่า เมื่อทราบข่าว จึงเสด็จติดตามมาด้วย เพื่อคอยให้ความช่วยเหลือพระเจ้าหลานเธอ เป็นที่มาให้เกิดตำนานท้องที่ คำว่า ท่าทอง และ ท่าข้าม ในระหว่างการเดินทางหลบหนีของ เจ้าชายกฤษณะ และ เจ้าหญิงเมฆขลา เป็นตำนานเรื่องเล่า สืบทอดต่อๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน
เรื่องราวความเป็นมาของชื่อ ภูเขาแม่นางเอ และ สระแม่นางเอ คือเรื่องราวการต่อสู้ของ พระกฤษณะ กับ นาคอัคคะ และ นาคกาลียะ ณ สระแม่นางเอ ก่อนที่ พระนางเมฆขลา จะประสูติพระราชโอรส มีเรื่องราวโดยสรุปว่า เมื่อ เจ้าชายกฤษณะ พร้อมด้วย เจ้าหญิงเมฆขลา เดินทางรอนแรม ๙ เดือน มาถึงเมืองมิถิลา(ไชยา) ณ สระแม่นางเอ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ ของ สวนโมกข์ผลาราม ต.เลม็ด อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน เจ้าหญิงเมฆขลา ได้เกิดอาการเจ็บพระครรภ์ อย่างรุนแรง แต่ นาคอัคคะ และ นาคกาลียะ ได้มาขัดขวางมิให้พระนางเมขลา ประสูติพระราชโอรส ข้างสระน้ำ ดังกล่าว พระกฤษณะ จึงต้องต่อสู้กับ นาคกาลียะ ในขณะที่ พระนางเมขลา ต้องประสูติ พระราชโอรส เอ-อ้าน(เรี่ยราด) อยู่บริเวณริมสระน้ำแม่นางเอ ณ เชิงภูเขาแม่นางเอ ดังกล่าว เป็นที่มาให้ เจ้าหญิงเมฆขลา จึงถูกเรียกพระนามใหม่ ว่า แม่นางเอ และ เป็นที่มาให้ ภูเขาดังกล่าวจึงถูกเรียกชื่อว่า ภูเขาแม่นางเอ สืบทอดเรื่อยมา จนถึงปัจจุบัน ส่วนสระน้ำ ซึ่งเป็นที่ประสูติพระราชโอรส ของ แม่นางเอ ถูกเรียกชื่อว่า สระแม่นางเอ โดยถูกเรียกสืบทอดต่อเนื่องกันมา จนถึงปัจจุบัน เช่นกัน
ภาพสลัก ณ ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง บนหน้าบันชั้นที่ ๒ ทางด้านทิศเหนือของมณฑป แสดงเรื่องราวการต่อสู้ ของ พระกฤษณะ กับ นาคอัคคะ และ นาคกาลียะ ณ เมืองมิถิลา(ไชยา) เพื่ออธิบายเรื่องราวขณะที่พระนางเมฆขลา กำลังจะประสูติ เป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ความเป็นมา ของ รัฐชนชาติอ้ายไต ในดินแดนสุวรรณภูมิ
ภายหลังการประสูติ พระกฤษณะ และ พระนางเมขลา หรือ แม่นางเอ ได้ไปพักพิงอยู่ที่บริเวณ ถ้ำแม่นางเอ เพื่อสร้างพระตำหนัก หลบภัย การติดตามของ พญากงส์ และ พญากุวัลย์ปิยะ ราชาแห่งแคว้นสุธรรม ซึ่งเป็นพระราชบิดา ของ พระนางเมขลา หรือ แม่นางเอ ขณะนั้น นางเอ ได้ทรงเลี้ยงดูพระราชโอรสที่เพิ่งประสูติ โดยที่ พระกฤษณะ ได้นำไพร่พล ต่อเรือสำเภาลำใหม่ เพื่อทดแทนเรือที่แตกไป แต่ พญากงส์ ซึ่งเป็นพระเจ้าอา ผู้แย่งชิงราชย์สมบัติ ทราบข่าว จึงวางแผนส่งกองทัพมาร่วมทำสงครามปราบปราบ พระกฤษณะ ด้วย
ภาพถ้ำพระกฤษณะ หรือ ถ้ำบ่อเจ็ดแห่ง บริเวณภูเขาแม่นางเอ ในท้องที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ถ้ำแห่งนี้ เป็นตำหนักของ พระกฤษณะ ภาพนี้ ถ่ายบริเวณปากถ้ำ จะเห็นเครื่องเซ่นไหว้ ซึ่งประชาชนยังคงนิยมเดินทางไปบวงสรวงเซ่นไหว้ จตุคามรามเทพ ในภพชาติของ พระกฤษณะ เป็นประจำ สืบทอดมาจนถึง ปัจจุบัน ภายในถ้ำ สูงประมาณ ๒ เมตร ยาวประมาณ ๘ เมตร จะมีเทวรูปจำลอง พระกฤษณะ และ พระนางเมฆขลา ด้วย
หลังจากที่ พระกฤษณะ ต่อสู้กับ นาคอัคคะ และ นาคกาลียะ เรียบร้อยแล้ว กองทัพของ พญากุวัลย์ปิยะ ได้ส่งกองทัพมาถึง เมืองมิถิลา(ไชยา) พร้อมกับได้ส่งช้างกุวัลย์ปิยะ และ ปล่อยราชสีห์ ให้เข้าไปทำร้าย พระกฤษณะ ณ พระตำหนัก ถ้ำพระกฤษณะ เป็นเหตุให้ พระกฤษณะ ต้องต่อสู้กับ ช้างกุวัลย์ปิยะ และ ราชสีห์ จนได้รับชัยชนะ สามารถฆ่าช้างกุวัลย์ปิยะ และ ราชสีห์ ณ ตำหนัก ถ้ำพระกฤษณะ เป็นผลสำเร็จ
ภาพสลักแสดงเรื่องราว พระกฤษณะ ต่อสู้กับ ช้างกุวัลย์ปิยะ และ ราชสีห์ ณ หน้าพระตำหนัก ถ้ำพระกฤษณะ แสดงอยู่ที่ทับหลังด้านทิศเหนือ ของ อันตราละ ปราสาทประธาน ของ ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง
ต่อมา กองทัพของ พญากงส์ มิตรสหายของ พญากุวัลย์ปิยะ ได้ส่งกองทัพจากอินเดีย มาถึง เมืองมิถิลา(ไชยา) เพื่อช่วย พญากุวัลย์ปิยะ ทำสงครามปราบปราม พระกฤษณะ ให้สิ้นพระชนม์ เนื่องจาก พญากงส์ เกรงว่า พระกฤษณะ จะต้องส่งกองทัพเข้าทำสงครามปราบปราม พญากงส์ เพื่อแย่งราชสมบัติกลับคืนให้กับ พญาวสุ ในอนาคต พญากงส์ จึงปล่อยราชสีห์ อีกตัวหนึ่งให้ไปทำร้าย พระกฤษณะ ณ พระตำหนัก ถ้ำพระกฤษณะ อีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม พระกฤษณะ ก็สามารถฆ่าราชสีห์ ของ พญากงส์ เป็นผลสำเร็จ ปราสาทต่างๆ ในดินแดนสุวรรณภูมิ จึงมักจะมีภาพสลัก พระกฤษณะ ต่อสู้กับราชสีห์ ของ พญากงส์ เพื่ออธิบายความเป็นมาของ ชนชาติไทยในดินแดนสุวรรณภูมิ อยู่ด้วยเสมอ
ภายหลังการต่อสู้ ของ พระกฤษณะ กับ ราชสีห์ ของ พญากงส์ ครั้งนั้น สมเด็จย่า ของ พระนางเมฆขลา และพระนางเพคะ ได้พยายามเกลี้ยกล่อม พญากุวัลย์ปิยะ ให้ถอนทัพกลับไป ปล่อยให้เป็นการต่อสู้ระหว่าง พระกฤษณะ กับ พญากงส์ แทนที่ ขณะเดียวกัน พญาฆิน ซึ่งเป็นราชาแห่ง เมืองมิถิลา(ไชยา) และ พญาฆา มหาราชา แห่ง อาณาจักรสุวรรณภูมิ กรุงครหิต(คันธุลี) ทราบข่าว จึงส่งกองทัพมาขับไล่ พญากงส์ ให้ออกไปจาก เมืองมิถิลา(ไชยา) ผลของสงครามครั้งนั้น พญาฆิน ราชาแห่งเมืองมิถิลา สวรรคต ในสงคราม
ภาพสลัก ณ ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง แสดงเรื่องราวการต่อสู้ระหว่าง พระกฤษณะ กับ ราชสีห์ ของ พญากงส์ ณ ภูเขาแม่นางเอ เมืองมิถิลา(ไชยา) ปรากฏอยู่ที่หน้าบันชั้นลด ทิศตะวันตก ด้านทิศเหนือ ของ มณฑป ของ ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ในปัจจุบัน
เมื่อ มหาราชาพญาฆา(พะยาค่ะ) แห่ง อาณาจักรสุวรรณภูมิ กรุงครหิต(คันธุลี) ทราบข่าวว่า พญาฆิน สวรรคตในสงคราม จึงส่งกองทัพใหญ่มาทำสงครามขับไล่ พญากงส์ ให้ต้องถอยทัพกลับอินเดีย เป็นที่มาให้ สมเด็จย่า ของ พระนางเมฆขลา เข้ามาช่วยเหลือ พญาฆา ทำสงครามครั้งนั้นด้วย
ตำนานความเป็นมา ของ ใบแม่ย่านาง ที่เมืองไชยา
ตำนานความเป็นมาของคำว่า "ดอนดวด" คือท้องที่แห่งหนึ่งใน อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี และคำว่า "ใบแม่ย่านาง" และคำไทย คำว่า "ดวด" มีเรื่องราวตำนานกล่าวว่า ในขณะที่เกิดสงครามระหว่าง พญาฆา กับ พญากงส์ นั้น กองทัพของ มหาราชาพญาฆา ตั้งอยู่ที่ดอนดวด มี สมเด็จย่า ของ เจ้าหญิงเมฆขลา(แม่นางเอ) และ พระนางเพคะ ได้เดินทางมาช่วยเหลือ พระกฤษณะ และ พระนางเมฆขลา ด้วย
เมื่อ สมเด็จย่า และ พระนางเพคะ ได้พบกับ เจ้าหญิงเมฆขลา(แม่นางเอ) และ พระกฤษณะ จึงได้ทราบที่หลบซ่อน ณ พระตำหนักถ้ำพระกฤษณะ หรือ ถ้ำบ่อ ๗ แห่ง(ภูเขาแม่นางเอ) เรียบร้อยแล้ว สมเด็จย่า จึงได้พยายามช่วยเหลือไพร่พล ของ มหาราชาพญาฆา ซึ่งมีกำลังไพร่พลส่วนหนึ่งตั้งกองทัพอยู่ที่ ดอนดวด ซึ่งคอยเฝ้าเวรยามอยู่บริเวณ ดอนดวด คือท้องที่บริเวณใกล้เคียงกับ สำนักงานที่ดิน จ.สุราษฎร์ธานี สาขา-ไชยา ในปัจจุบัน ให้เตรียมพร้อมอยู่เสมอ มิให้กองทัพของ พญากงส์ เข้าโจมตี
เนื่องจาก ไพร่พลของ มหาราชาพญาฆา จะหลับยาม กันเป็นประจำ สมเด็จย่า เกิดความห่วงใย เกรงว่า กองทัพของพญากงส์ จะส่งกองทัพไปยัง ตำหนักพระกฤษณะ สำเร็จทำให้ พระกฤษณะ และ พระนางเมฆขลา จะถูกนำไปฆ่า โดยไม่สามารถหลบหนี ได้ทัน จึงเป็นที่มาให้สมเด็จย่า ของ เจ้าหญิงเมฆขลา(แม่นางเอ) ได้นำใบไม้ชนิดหนึ่ง มาต้มกับหน่อไม้ไผ่ และปรุงด้วยเครื่องปรุง หลายชนิด กลายเป็น ซุปหน่อไม้ และ น้ำซุปแม่ย่านาง เพื่อใช้เป็นอาหารแก้ง่วงนอน สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ใบไม้ดังกล่าวเดิมเรียกชื่อว่า ใบวันยอ จึงถูกเรียกชื่อใหม่ว่า ใบแม่ย่านาง ซึ่งถูกเรียกกันสืบทอดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเมื่อนำไปปรุงเป็นอาหารแล้ว หรือ เมื่อนำไปดื่ม หรือรับประทานแล้ว จะไม่เกิดอาการง่วงนอน อาหารดังกล่าว เกิดขึ้นในท้องที่ บ้านดอนดวด ตามที่กล่าวมา คำว่า "ดวด" จึงเป็นคำไทย มีความหมาย เช่นเดียวกับคำว่า "ดื่ม" แต่เป็นการดื่ม เครื่องดื่ม ที่ปรุงขึ้นพิเศษ เพื่อภารกิจพิเศษ เท่านั้น บ้านดอนดวด คือ ที่ให้กำเนิดอาหาร ซุปหน่อไม้ นั่นเอง
ในที่สุด กองทัพของ มหาราชาพญาฆา สามารถขับไล่ กองทัพของ พญากงส์ ให้ต้องถอยทัพกลับไป และกองทัพพญากงส์ ได้ยกกองทัพเข้าโจมตีเมือง ของ พญาวสุ ณ ดินแดนเกษียรสมุทร ด้วย เป็นที่มาให้ พระพลราม ต้องต่อสู้กับ ปีศาจธนุกะ จนได้รับชัยชนะ กองทัพของ พญากงส์ จึงต้องถอยทัพกลับ อินเดีย เหตุการณ์ในขณะนั้น มหาราชาพญาฆา แห่ง อาณาจักรสุวรรณภูมิ จึงนำพระกฤษณะ ไปขุดหาทองคำ ณ เมืองครหิต(คันธุลี) ตามเจตนาเดิม เมื่อได้ทองคำ ตามที่ต้องการ พระกฤษณะ จึงได้เสด็จกลับคืนดินแดน เกษียรสมุทร เพื่อทำสงครามกู้ชาติจากการยึดครองของ พญากงส์ กลับคืน ปล่อยให้พระนางเมฆขลา หรือ แม่นางเอ ประทับอยู่ที่ พระตำหนัก ถ้ำพระกฤษณะ ณ เมืองมิถิลา(ไชยา) เพื่อเลี้ยงดูพระราชโอรส เพียงลำพัง
พระกฤษณะ จัดกองทัพใหญ่ เข้าต่อสู้กับ พญากงส์
ต่อมา พญาวสุ ได้ทุนรอนจาก ทองคำ ที่พระกฤษณะ ส่งมอบให้ จึงจัดกองทัพใหญ่ เข้าต่อสู้กับ พญากงส์ เพื่อแย่งยึดอำนาจกลับคืนให้กับ พญาวสุ ผู้เป็นพระราชบิดา ผลของสงคราม พระกฤษณะ สามารถฆ่า พญากงส์ เป็นผลสำเร็จ สามารถกอบกู้คืนราชสมบัติให้กับ พญาวสุ ผู้เป็นพระราชบิดา เป็นผลสำเร็จ พระพลราม ซึ่งเป็นพระเชษฐา ของ พระกฤษณะ จึงต้องช่วยราชการ พระราชบิดา เป็นเหตุให้ พระกฤษณะ ต้องกลับมาเป็นราชา ปกครอง ดินแดนเกษียรสมุทร จึงเป็นที่มาให้เกาะชวา มีชื่อว่า เกาะพระกฤษณะ หรือ เกาะพระกฤต ในสมัยนั้น ด้วย
ความเป็นมาของ บ่อ ๗ แห่ง ภูเขาแม่นางเอ เมืองไชยา
ชีวิต แม่นางเอ(พระนางเมฆขลา) ในขณะที่ พระกฤษณะ ต้องออกไปทำสงครามกู้ชาติ กลับคืน นั้น แม่นางเอ ประทับอยู่ที่พระตำหนัก ถ้ำพระกฤษณะ ก็ใช้เวลาว่างสกัดหิน บริเวณหน้าถ้ำ เป็นบ่อขึ้นมาได้ ๗ แห่ง เพื่อใช้เป็นที่เก็บน้ำ ที่ต้องเดินทางไปลำเลียงน้ำ จากสระแม่นางเอ เพื่อนำมาใช้ในการปรุงอาหาร และการใช้เพื่อการเลี้ยงดู พระราชโอรส ที่เพิ่งประสูติ มา บ่อน้ำดังกล่าว จึงถูกเรียกชื่อว่า บ่อ ๗ แห่ง ของ ถ้ำแม่นางเอ หรือ ถ้ำพระกฤษณะ สืบทอดต่อเนื่อง มาจนถึงปัจจุบัน
ภาพสลักแสดงบนทับหลังประตูชั้นที่ ๒ มุขด้านทิศตะวันตก ของปราสาทพระประธาน ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง แสดงเรื่องราวของ พระกฤษณะ ต่อสู้กับ พญากงส์ และสามารถฆ่าพญากงส์ เป็นผลสำเร็จ
ขณะที่ พระนางเมฆขลา(แม่นางเอ) เลี้ยงดูพระราชโอรส รอการกลับมา ของ พระกฤษณะ นั้น พระนางเมฆขลา ผูกแปล ไกวเปล กล่อมโอรส อยู่ที่ใต้ต้นไม้ใกล้ถ้ำ บริเวณที่ตั้งเจดีย์พระกฤษณะ ในปัจจุบัน บังเอิญสายเปล ขาด พระราชโอรส หัวกระแทกพื้นก้อนหิน สิ้นพระชนม์ เป็นเหตุให้ พระนางเมฆขลา เสียพระทัยมาก ใช้สายเปล แขวนคอ ใต้กิ่งไม้ สิ้นพระชนม์ ตามไปด้วย
ภาพรอยพระบาทเบื้องซ้าย ของ จตุคามรามเทพ ในภพชาติของ พระกฤษณะ บริเวณใกล้หน้าผาหิน ใกล้เจดีย์พระกฤษณะ บริเวณภูเขาแม่นางเอ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ภาพนี้ ใช้แป้งโรย ในร่องพระบาท เพื่อถ่ายภาพ เปรียบเทียบขนาดกับปากกาลูกลื่น ให้เห็นปรากฏ ภาพให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อพระกฤษณะ เสด็จจากเกาะพระกฤต(เกาะชวา) ดินแดนเกษียรสมุทร มายัง เมืองมิถิลา(ไชยา) อาณาจักรสุวรรณภูมิ เพื่อรับ พระนางเมฆขลา(แม่นางเอ) กลับไปยังเกาะพระกฤต ก็พบเพียงกองกระดูก ของ พระนาง และ โอรส กองอยู่ ณ บริเวณที่ตั้ง เจดีย์พระกฤษณะ เท่านั้น เจ้าชายกฤษณะ จึงเสียพระทัยมาก กลายเป็นผู้ถือศีล อยู่ที่ ถ้ำบ่อ ๗ แห่ง(ภูเขาแม่นางเอ) และนั่งกรรมฐานอยู่ที่ เจดีย์พระกฤษณะ จนกระทั่งได้ ตรัสรู้ มีพลังจิตรที่เข้มแข็ง สามารถสร้าง รอยพระบาทฝ่ายซ้าย บนพื้นหิน ด้วยพลังจิต ของพระองค์เองได้สำเร็จ ปรากฏหลักฐาน สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
พระกฤษณะ ให้กำเนิดภูเขาน้ำร้อน ๔ ภูเขา
พระกฤษณะ ยังสามารถได้ใช้พลังจิต ก่อให้เกิด แผ่นดินไหว แผ่นดินแยกตัว กำเนิด ภูเขาสุวรรณคีรี ขึ้นมา กลางทะเล ของ เมืองมิถิลา(ไชยา) และ ภูเขาน้ำร้อนขึ้นอีก ๓ ลูก ในช่วงเวลาดังกล่าว ด้วย คือ ภูเขาน้ำร้อนพ่อตาลาวสูง , ภูเขาน้ำร้อนพ่อตาทุ่งใหญ่ , ภูเขาน้ำร้อนพ่อตาหาร และ ภูเขาน้ำร้อนเขาพลู จึงเรียกภูเขาน้ำร้อนทั้ง ๕ ลูกดังกล่าวว่า ภูเขาโควรรธนะ และได้มาเปลี่ยนชื่อ ภูเขาน้ำร้อนทั้ง ๕ ลูก ในเวลาต่อมา ตามชื่อที่กล่าวมา
ด้วยอิทธิฤทธิ์ ดังกล่าว ทำให้ พระกฤษณะ ได้รับการนับถือ กลายเป็นศาสดาของลัทธิหนึ่ง ของ ศาสนาพราหมณ์ เผยแพร่ในดินแดนสุวรรณภูมิ จนกระทั่ง มหาราชาพญาฆา(พะยะคะ) และ พระนางเพฆา(เพคะ) อัครมเหสี ของ พญาฆา มาขอสมัครเป็นศิษย์ เป็นที่มาของการใช้คำไทย คำว่า พญาฆา(พะยาคะ) และ เพฆา(เพค่ะ) มาใช้ในการลงท้าย ในการเข้าเฝ้ากษัตริย์ของชนชาติไทย ในเวลาต่อมา สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
พระกฤษณะ ให้กำเนิดภูเขาน้ำร้อน ๔ ภูเขา
พระกฤษณะ ยังสามารถได้ใช้พลังจิต ก่อให้เกิด แผ่นดินไหว แผ่นดินแยกตัว กำเนิด ภูเขาสุวรรณคีรี ขึ้นมา กลางทะเล ของ เมืองมิถิลา(ไชยา) และ ภูเขาน้ำร้อนขึ้นอีก ๓ ลูก ในช่วงเวลาดังกล่าว ด้วย คือ ภูเขาน้ำร้อนพ่อตาลาวสูง , ภูเขาน้ำร้อนพ่อตาทุ่งใหญ่ , ภูเขาน้ำร้อนพ่อตาหาร และ ภูเขาน้ำร้อนเขาพลู จึงเรียกภูเขาน้ำร้อนทั้ง ๕ ลูกดังกล่าวว่า ภูเขาโควรรธนะ และได้มาเปลี่ยนชื่อ ภูเขาน้ำร้อนทั้ง ๕ ลูก ในเวลาต่อมา ตามชื่อที่กล่าวมา
ด้วยอิทธิฤทธิ์ ดังกล่าว ทำให้ พระกฤษณะ ได้รับการนับถือ กลายเป็นศาสดาของลัทธิหนึ่ง ของ ศาสนาพราหมณ์ เผยแพร่ในดินแดนสุวรรณภูมิ จนกระทั่ง มหาราชาพญาฆา(พะยะคะ) และ พระนางเพฆา(เพคะ) อัครมเหสี ของ พญาฆา มาขอสมัครเป็นศิษย์ เป็นที่มาของการใช้คำไทย คำว่า พญาฆา(พะยาคะ) และ เพฆา(เพค่ะ) มาใช้ในการลงท้าย ในการเข้าเฝ้ากษัตริย์ของชนชาติไทย ในเวลาต่อมา สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ภาพสลัก ณ ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง แสดงเรื่องราวของ พระกฤษณะ กำลังแสดงอภินิหาร ให้กำเนิด ภูเขาโควรรธนะ ภาพสลักนี้ ปรากฏอยู่ที่หน้าบัน ด้านทิศตะวันออก ของ ปราสาทประธาน
รูปถ่าย ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน-ไชยา) ซึ่งเป็นหนึ่งในห้า ของ ภูเขาโควรรธนะ จำนวน ๕ ลูก ซึ่งล้วนมีน้ำพุร้อน ผุดออกมา เชื่อกันว่า กำเนิดขึ้นพร้อม ๆ กันในขณะที่ พระกฤษณะ กำลังบำเพ็ญความเพียร ณ บ่อ ๗ แห่ง ภูเขาแม่นางเอ
เมื่อพระกฤษณะ สวรรคต ไป ดวงวิญญาณ ของ พระกฤษณะ มีอยู่ ๒ ภาค คือ ภาคคุณธรรม และ ภาคนักรบ ดังนั้น ในภพชาติต่อมา จึงเชื่อกันว่า วิญญาณภาคคุณธรรม ของ พระกฤษณะ ได้ อวตาลมาประสูติเป็น เจ้าชายสิทธัตถะ ส่วน พระนางเมฆขลา(แม่นางเอ) ได้มาประสูติเป็น พระนางพิมพา ส่วนพระราชโอรสที่เสียชีวิตไป ได้มาประสูติในภพชาติใหม่ เป็น เจ้าชายราหุล เพราะความเชื่อเหล่านี้ ดังนั้น เมื่อก่อกำเนิด พระพุทธศาสนา ขึ้นมาในสมัยต่อมา เพราะความเชื่อดังกล่าว ได้ส่งผลต่อมา ในการนำ พระพุทธศาสนา เข้ามาเผยแพร่ ในดินแดนสุวรรณภูมิ จนกระทั่ง รัฐของชนชาติไทย ในดินแดนสุวรรณภูมิ ได้ใช้พระพุทธศาสนา มาใช้เป็นศาสนาประจำชาติ สืบทอดเรื่อยมา จนถึงปี พ.ศ.๒๔๗๕ จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐของชนชาติไทย จึงค่อยๆ เพี้ยนไปในส่วนวิญญาณภาคนักรบ ของ พระกฤษณะ ได้มาประสูติในภพชาติใหม่ เป็น ขุนราม เป็นพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง ของ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง แห่ง ประเทศ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กรุงอู่ทอง(ราชบุรี) คืออีกภพชาติหนึ่ง ของ จตุคามรามเทพ นั่นเอง
ส่วน พระนางเมฆลา ได้ไปประสูติในภพใหม่เป็น พระนางพิมพา เมื่อสิ้นพระชนม์ไป วิญญาณได้มาประสูติในภพใหม่เป็น พระนางศรีจันทร์ อัครมเหสี ของ ขุนราม นั่นเอง ส่วน เจ้าชายราหุล ได้มาประสูติเป็น เจ้าชายภาณุ พระราชโอรส ของ ขุนราม ผู้นำพระพุทธศาสนา ไปเผยแพร่ในดินแดนเกษียรสมุทร ในสมัยต่อมา
ด้วยความเชื่อที่ว่า พระนารายณ์ ได้อวตารมาเป็น กฤษณาวตาร หมายถึงพระนารายณ์อวตาร มาเป็นพระกฤษณะ ซึ่งได้มาเกี่ยวข้องกับ ดินแดนสุวรรณภูมิ และการที่วิญญาณภาคคุณธรรม ของ พระกฤษณะ อวตารในภพชาติถัดมา คือ พุทธาวตาร หมายถึงการที่ พระนารายณ์ อวตารลงมาเป็น พระพุทธเจ้า และต่อมา วิญญาณภาคนักรบ ของ พระกฤษณะ ได้อวตาร ลงมาเป็น ขุนราม หรือ จตุคามรามเทพ อีกหลายครั้ง ในดินแดนสุวรรณภูมิ เพื่อดับทุกข์เข็ญหลายครั้งให้กับชนชาติอ้ายไต(ไทย) ด้วยความเชื่อเหล่านี้ ได้ส่งผลต่อโครงสร้างชั้นบน ของ สังคมชนชาติอ้ายไต(ไทย)และ กระบวนการพัฒนา ของ สังคมชนชาติอ้ายไต(ไทย)ในดินแดนสุวรรณภูมิ ตลอดจน กระบวนการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ ของสังคมไต ในอดีต มาจนถึงปัจจุบัน ด้วย
พระพุทธเจ้า เสด็จมายัง ภูเขาสุวรรณคีรี เมืองไชยา
ตามเนื้อหาบันทึกของตำนานอุรังคธาตุ กล่าวถึงเส้นทางเดินทางของพระพุทธเจ้า พระมหากัสสปะ พร้อมกับ พระอานนท์ ได้เคยเสด็จมาโดยทางเรือ จากอินเดีย มาสู่ดินแดน อาณาจักรสุวรรณภูมิ โดยเสด็จมาประทับ ณ เมืองราชคฤห์(ภูภิกษุ คันธุลี) ต่อมาพระองค์ พร้อมด้วยพระอานนท์ ได้เล่นเรือจาก กรุงราชคฤห์(คันธุลี) ไปยังอ่าวลึก ระหว่างคาบสมุทรจามปา กับคาบสมุทรเขมร ทั้งนี้เพราะในสมัยนั้น มีอ่าวลึกเข้าไปตามเส้นทางแม่น้ำโขง ไปผ่านเมืองสุวรรณเขต พระพุทธองค์ได้เสด็จไปประทับอยู่ที่ แคมหนองคันเทเสื้อน้ำ คือ เมืองเวียงจันทร์ ในปัจจุบัน แล้วเสด็จย้อนกลับ ไปตามลำน้ำโขง ไปยัง แคว้นศรีโคตรบูรณ์(นครพนม) โดยได้ไปประทับอยู่ที่ ภูกำพร้า แล้วเสด็จกลับทางบก ไปยัง เมืองหนองหานหลวง(สกุลนคร) แล้วเสด็จทางเรือกลับไปยังกรุงราชคฤห์(คันธุลี) ซึ่งพระมหากัสสปะ รออยู่ หลังจากนั้น พระพุทธเจ้า ได้เสด็จโดยทางเรืออีกเที่ยวหนึ่ง ไปยัง ภูกูเวียน(เมืองพานกง) บริเวณเทือกเขาภูพาน แล้วเสด็จต่อไปยัง ดอยนันทการี(ลานช้าง) คือเมืองหลวงพระบางในปัจจุบัน จึงเสด็จกลับกรุงราชคฤห์(คันธุลี) อีกครั้งหนึ่ง
หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ คนไทยผู้สูงอายุในท้องที่ภาคใต้ มีความเชื่อถึงการเข้ามาของพระพุทธศาสนายังดินแดนสุวรรณภูมิ เชื่อว่า พระพุทธศาสนา เข้ามายังดินแดนสุวรรณภูมิ ในสมัยพระพุทธเจ้า นั่นเอง เพราะหลังจากที่พระพุทธเจ้า เสด็จกลับ อินเดีย โดยมีพระภิกษุ จำนวนหนึ่ง ได้มาตั้งสำนักสงฆ์ เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนา ณ ภูเขาภิกษุ(ภูเขาชวาลา) แคว้นครหิต(คลองหิต) โดยมิได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์ ผู้ปกครอง ของ มหาอาณาจักรสุวรรณภูมิ
ความเชื่อที่กล่าวว่า พระพุทธเจ้า เคยเสด็จมายังอาณาจักรสุวรรณภูมิ นอกจากมีบันทึกไว้ใน ตำนานอุรังคธาตุ ซึ่งเป็นตำนานการก่อสร้างพระบรมธาตุนครพนม แล้ว ยังมีปรากฏใน บทสวดมนต์ คำกลอนลายลักษณ์พระพุทธองค์ และยังปรากฏในคำกลอนบวงสรวงดวงวิญญาณบูรพกษัตริย์ บริเวณภูเขาสุวรรณคีรี อีกด้วย กล่าวกันว่า พระพุทธเจ้า เสด็จมายังเกาะศรีลังกา และได้เสด็จต่อมายังดินแดนสุวรรณภูมิ โดยได้มาลงเรือ ณ ท่าเรือของ ภูเขาพนมสายรุ้ง หรือ ภูเขาพนมเบญจา ในท้องที่ ของ อ.เขาพนม จ.กระบี่ ในปัจจุบัน หลังจากนั้น พระพุทธเจ้า ได้เสด็จโดยทางเรือ มาสู่อ่าวไทย จากแม่น้ำกระบี่ ซึ่งเชื่อมต่อ แม่น้ำตาปี มายัง ภูเขาสุวรรณคีรี และเสด็จต่อไปยัง สำนักสงฆ์ภูเขาภิกษุ(ภูเขาชวาลา) เมืองราชคฤห์(คันธุลี)
ในสมัยต่อมา เจ้าพระยาศรีธรรมโศก ได้สร้างพระพุทธบาท จำลองไว้ ณ สถานที่ต่าง ๆ ๕ แห่ง พร้อมกับการพระราชทานชื่อ ภูเขาพนมสายรุ้ง เป็นชื่อใหม่ว่า ภูเขาพนมเบญจา เพื่อสื่อความหมายถึง พระพุทธเจ้า เคยเสด็จลงเรือมายังดินแดนสุวรรณภูมิ เป็นที่มาของ รอยพระบาท ๕ แห่ง พร้อมกับได้แต่งบทสวดมนต์ คำกลอนลายลักษณ์พระบาทพระพุทธองค์ โดยมีเนื้อหาบางตอน ที่ขอคัดเลือกบางตอนมากล่าวไว้ มีข้อความคำสวด บางตอน ดังนี้
"...พระเจ้าสรรค์เพชร พระเจ้าเสด็จ โปรดโลกโลกา
มีดอกบัวทอง ทั้งสองโสภา ผุดจากพสุธา รองรับบาทองค์
พระเจ้าย่างกราย บัวทองรองบาท มาบันดาลให้
ที่ไหนไม่สบาย พระพายพัดพาน มีมาสาบาน นมัสการพระองค์
หอบเอาทรายแก้ว นวลละอองผ่องแผ้ว มาโปรยปรายลง
ให้ทางราบรื่น ในพื้นบาทบง พระเจ้าเสด็จลง บาทดำเนินสบาย
พระเจ้าเสด็จประภาส บัวทองรองบาท มาบันดาลให้
ไม่ให้ปรากฏ แก่ลูกหญิงชาย เหยียบย่ำทำลาย จะเป็นโทสา
พระศาสดาจารย์ เสด็จเข้านิพาน ล่องลับเอกา
ยังมีแต่รอย บาทบง พระศาสดา บรรจบครบห้า ประดิษฐานโดยมี
พระบาทหนึ่งปรากฏ อยู่เขาบรรพต สุวรรณคีรี(ภูเขาสุวรรณคีรี ไชยา)
พระบาทสองนั้นซ้าย อยู่ในกรุงศรี ประเทศธานี โยนกนคร(หลวงพระบาง)
พระบาทสามนั้นโศก อยู่เขาบรมโกษ ลังกาบวร(เขาบรมโกษ ประเทศศรีลังกา)
พระบาทสี่ทศพล อยู่บนสิงขร นพรัตน์บุรี(ภูเขาสุวรรณบรรพต สระบุรี)
พระบาทห้า ประดิษฐาน อยู่แถบชลธาร แม่น้ำนที(อยุธยา)
เป็นที่วันทา เทวาธิบดี ฝูงปลากุมภีร์ เข้าเฝ้าวันทา
พระบาทห้าแห่ง พระพุทธองค์สำแดง ย่างเหยียบไว้นั้น
เป็นที่วันทา นกกาสัตว์สันต์ มนุษย์สกุนทัน อสุราอสุรี
ลายลักษณ์เลิศไกร ไว้สั่งสอนใจ หญิงชายถ้วนหน้า
หัวค่ำไก่ขัน ทุกวันอัตตา อุตส่าห์ภาวนา เป็นนิจทุกวัน
ใครท่องลายลักษณ์ ได้บุญมากนัก แปดหมื่นสี่พัน
ได้พบพระองค์ ผู้ทรงในธรรม จำไว้ให้มั่น อย่าได้อุเบกขา...."
เนื้อหาของคำสวดมนต์ ตาม คำกลอนลายลักษณ์พระพุทธองค์ ดังกล่าว ซึ่งกล่าวถึงพระบาทของพระพุทธองค์ ๕ แห่ง ซึ่ง เจ้าพระยาศรีธรรมโศก ได้เป็นผู้ประดิษฐ์สร้างขึ้นไว้ เป็นอนุสรณ์ ในสมัยต่อๆ มา แสดงให้เห็นถึงความเชื่อของคนไทยมาอย่างยาวนานว่า พระพุทธเจ้า ได้เคยเสด็จ มายังดินแดนสุวรรณภูมิ ทำให้ เจ้าพระยาศรีธรรมโศก หรือ พระวิษณุกรรมเทพบุตร ทรงสร้างรอยพระบาทจำลอง ไว้เป็นสัญลักษณ์ ๔ แห่ง ในดินแดนสุวรรณภูมิ และประดิษฐานไว้ในดินแดนศรีลังกา อีก ๑ แห่ง
ยังมีบทสวดมนต์ อีกบทหนึ่ง กล่าวว่า เจ้าพระยาศรีธรรมโศก เป็นผู้รจนาขึ้น เมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๒๑๗ เพื่อใช้ในการบวงสรวงเซ่นไหว้พระพุทธบาทเบื้องขวา ณ ยอดภูเขาสุวรรณคีรี ท้องที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน กล่าวกันว่า ครั้งแรกเป็นการใช้ในการทำพิธีกรรม มหาไชยาบรมราชาภิเษก ให้กับ มหาจักรพรรดิพ่อหะนิมิต และ จักรพรรดิพ่อศรีไชยนาท ในสมัยกำเนิด สหราชอาณาจักรเสียม ต่อมา ทุก ๆ ปี เมื่อถึงวันสงกรานต์ ก็จะต้อง ทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ ทุกวันสงกรานต์ เป็นไปตามพิธีกรรม ตามศาสนาพุทธ และ ศาสนาพราหมณ์ ทั้งนี้เพื่อบวงสรวงรอยพระบาทพระพุทธองค์ ณ ยอดภูเขาสุวรรณคีรี ก่อนที่จะมีการสวดมนต์ตามคำกลอนลายลักษณ์พระพุทธองค์ หลังจากนั้นจึงจะเป็นพิธีกรรม ของพระสงฆ์ จนกลายเป็นประเพณี ซึ่งสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน คำกลอนบวงสรวงดังกล่าว มีเนื้อหากล่าวถึง ๒ ภพชาติของพระพุทธเจ้า คือภพชาติที่ประสูติมาเป็นพระกฤษณะ และภพชาติที่ประสูติมาเป็น พระพุทธเจ้า คำบวงสรวงบางตอน ว่าไว้ดังนี้
"...พระบาทที่หนึ่ง เขาล้อมขอบเขต(ภูเขานางเอ) เป็นเทศที่หนึ่ง พระบาทที่สอง อยู่คลองราชคฤห์ (คลองหิต คันธุลี) พระบาทที่สาม อยู่เหนือศิลา อยู่บนแผ่นภูผา ศิลาภูเขา(ภูเขาพนมเบญจา กระบี่) พระบาทที่สี่ เมืองลังเขาตั้ง พระบาทฝ่ายขวา อยู่เมืองลังกา เป็นที่พึ่งรักษา แก่สาธุชน พระบาทพระองค์ เมื่อส่งไปไว้ กลับ โปรดมาใหม่ ขอเป็นฝ่ายซ้าย จะตั้งเรียงราย เป็นเขตแผ่นผา พระพุทธองค์ เขาลงมาใหม่ ถึงผาที่ต่ำ มาถึงหน้าถ้ำ ของคูหาใหญ่(ภูเขาสุวรรณคีรี)..."
เนื้อหาตามคำกลอนการบวงสรวงเซ่นไหว้รอยพระบาทพระพุทธองค์ และการบวงสรวงเซ่นไหว้ ดวงวิญญาณบูรพกษัตริย์ สหราชอาณาจักรเสียม ณ ยอดภูเขาสุวรรณคีรี ตามพิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์ ที่สืบทอดต่อเนื่องกันมา มีเนื้อหาสรุปถึงความเชื่อของคนไตได้ว่า ในภพชาติที่ พระรามจันทร์ ได้ อวตาลมาเป็น จตุคามรามเทพ ในภพชาติของ พระกฤษณะ นั้น พระกฤษณะ ได้เคยเสด็จไปหลายท้องที่ในดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่ง เจ้าพระยาศรีธรรมโศก ได้สร้างรอยพระบาทจำลองไว้เป็นที่ระลึก ตามพื้นที่สำคัญซึ่ง พระกฤษณะ เคยเสด็จไปประทับ
พื้นที่พระบาทที่ ๑ คือ บริเวณ ถ้ำบ่อ ๗ แห่ง(ภูเขาแม่นางเอ) ท้องที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน พื้นที่พระบาทที่ ๒ อยู่ที่ คลองหิต คันธุลี ซึ่งเรียกว่า คลองราชคฤห์ คือท้องที่ ต.คันธุลี ในปัจจุบัน ส่วน พระบาทที่ ๓ ของ พระกฤษณะ นั้น ได้สร้างไว้ บริเวณภูเขาพนมเบญจา(ภูเขาพนมสายรุ้ง) ในท้องที่ อ.เขาพนม จ.กระบี่ ในปัจจุบัน ส่วนพระบาทที่ ๔ ของ พระกฤษณะ ซึ่งเจ้าพระยาศรีธรรมโศก สร้างไว้เดิม เป็นรอยพระบาทฝ่ายขวา แต่เมื่อส่งไปมอบให้ มหาราชาแห่ง ประเทศศรีลังกา กลับไม่พอพระทัย และขอมาใหม่ ให้จัดสร้างเป็น พระบาทฝ่ายซ้าย แทนที่
ต่อมาเมื่อ พระกฤษณะ ได้ อวตาล มาเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ได้เสด็จมายังภูเขาสุวรรณคีรี อีกครั้งหนึ่ง โดยได้มาประทับอยู่ที่ยอดภูเขา และได้เสด็จมาถึงหน้าถ้ำ ของ ภูเขาสุวรรณคีรี ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจรัฐ ของ อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของชนชาติอ้ายไต ในเวลาต่อมา ซึ่งเรียกว่า สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ จึงมีการบวงสรวงเซ่นไหว้ พระกฤษณะ และ พระพุทธเจ้า สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเช่นกัน
พระพุทธศาสนา เข้าสู่ ดินแดนสุวรรณภูมิ ณ ภูเขาภิกษุ คันธุลี
จากการรวบรวมเอกสารโบราณเกี่ยวกับความเป็นมาทางพระพุทธศาสนา ของ พระปัญญาสามีเถระ ซึ่งเขียนขึ้นเป็นภาษาบาลี เสร็จเมื่อวันเพ็ญ เดือนอ้าย พ.ศ.๒๔๐๕ ชื่อ หนังสือศาสนาวงศ์ หรือ ประวัติพระพุทธศาสนา แปลโดย ศาสตราจารย์แสง มนวิทูล กรมศิลปากร หน้าที่ ๕๒-๕๖ กล่าวว่า ก่อนที่ พระพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพาน ๓๕ ปี ได้มี พระภิกษุ ๒ องค์ เดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ คือเหตุการณ์เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ได้ประมาณ ๗ สัปดาห์ กล่าวถึงพระภิกษุ ๒ องค์ คือ พระตปุสสะ และ พระภัลลิกะ ได้เดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ
การศึกษาของ พระราชกวี(อ่ำ) ซึ่งเป็นผู้ค้นคว้าการเข้ามาของพระพุทธศาสนา ในดินแดนสุวรรณภูมิ อีกผู้หนึ่ง กล่าวว่า ชนชาติอ้ายไตคนแรก ที่บวชเป็นพระภิกษุองค์แรกมีนามว่า พระปุณณเถระ ได้บวชเรียนอยู่ ๓ พรรษา ต่อมาได้นิมนต์พระพุทธองค์ให้เสด็จมายังดินแดนสุวรรณภูมิ พระพุทธเจ้า จึงได้เสด็จมาประทับ ณ สำนักสงฆ์ภูเขาภิกษุ(ภูเขาชวาลา) กรุงราชคฤห์(ครหิต คันธุลี)
เนื่องจากมีความเชื่อว่า หลังจากที่พระพุทธเจ้า เสด็จกลับ อินเดีย แล้ว ได้มีพระภิกษุ ซึ่งเป็นชนชาติอ้ายไต ซึ่งได้เดินทางไปบวชเรียน ณ ประเทศอินเดีย ได้มาตั้งสำนักสงฆ์ เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนา ณ ภูเขาภิกษุ(ภูเขาชวาลา) แคว้นคลองหิต(คันธุลี) โดยมิได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์ ผู้ปกครองของ มหาอาณาจักรสุวรรณภูมิ แต่อย่างใดนั้น ในเรื่องนี้มีบันทึกไว้ในพงศาวดารไทยอาหม ใกล้เคียงกับ ตำนานความเป็นมาของภูเขาชวาลา(ภูเขาภิกษุ) ในท้องที่ ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ด้วย
ภาพแผนที่ ผังเมืองครหิต ราชธานี ของ มหาอาณาจักรสุวรรณภูมิ ซึ่งตั้งอยู่ในท้องที่ ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน ในภาพ แสดงที่ตั้งของ ภูเขาภิกษุ หรือ ภูเขาชวาลา ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักสงฆ์ภูภิกษุ ศูนย์กลางการเผยแพร่ พระพุทธศาสนา ที่เกิดขึ้นครั้งแรก ในดินแดนสุวรรณภูมิ เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล ตำนานท้องที่ ภูเขาชวาลา กล่าวว่า สำนักสงฆ์ภูเขาภิกษุ ถูกกองทัพจีน โดยนายพลเจิ้งหัว ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม ส่งกองทัพเข้าเผาทำลายเมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๙๕๕ จนกระทั่งร้างไป
ภูเขาชวาลา เคยมีชื่อว่า ภูเขาภิกษุ ตำนานไทยอาหม บันทึกว่า หลังจากที่พระพุทธเจ้า เสด็จมายัง มหาอาณาจักรสุวรรณภูมิ ซึ่งขณะนั้น ปกครองโดย มหาราชาเงาคำ และเมื่อ พระพุทธเจ้า เสด็จกลับ อินเดีย แล้ว มีชายคนหนึ่งที่แคว้นคลองหิต ชื่อ "หารคำงาม" เป็นเชื้อสายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต ได้เดินทางตามเสด็จพระพุทธเจ้าไปยัง อินเดีย ด้วย และได้ออกบวชเป็นพระภิกษุ ต่อมา ภิกษุหารคำงาม ได้เดินทางกลับมายัง เมืองราชคฤห์(คันธุลี) และได้มาสร้างสำนักสงฆ์ขึ้น ณ ภูเขาภิกษุ(ภูเขาชวาลา) เมืองครหิต(คันธุลี) เพื่อทำการเผยแพร่พุทธศาสนา เป็นเหตุให้ ภูเขาชวาลา จึงถูกเรียกชื่อว่า ภูเขาภิกษุ ตั้งแต่นั้นมา
เนื่องจาก ในสมัยนั้น พระพุทธศาสนา ยังมิได้รับการยอมรับจากประชาชนชนชาติอ้ายไต มากนัก เพระมิได้รับการสนับสนุนจาก มหาราชาเงาคำ กษัตริย์ผู้ปกครอง ของ มหาอาณาจักรสุวรรณภูมิ เมื่อภิกษุหารคำ ถึงแก่มรณภาพ ก็ยังมี พระภิกษุสงฆ์ ใช้ภูเขาภิกษุ เป็นสำนักสงฆ์เผยแพร่พระพุทธศาสนา สืบทอดเรื่อยมา จนกระทั่งเกิดสงครามขึ้นที่ ทุ่งพระยาชนช้าง ภูเขาภิกษุ จึงถูกเปลี่ยนชื่อ โดย ขุนเทียน เป็นชื่อ ภูเขาชวาลา อีกครั้งหนึ่ง
บุญกุศลที่ ภิกษุหารคำงาม ได้สร้างไว้ ณ ภูเขาภิกษุ(ภูเขาชวาลา) ทำให้ในภพชาติต่อมา หาญคำงาม ได้ไปประสูติ เป็นพระราชโอรส ของ พระนางสังฆมิตร และเป็นพระเจ้าหลานเธอ ของ พระเจ้าอโศกมหาราช ในประเทศอินเดีย มีพระนามว่า เจ้าชายสุมิตร ต่อมาพระองค์ได้กลับมาเป็นกษัตริย์ ของ แคว้นมิถิลา(ไชยา) ใกล้กับ แคว้นครหิต(คลองหิต) และได้เปลี่ยนพระนามใหม่เป็นภาษาไทย ว่า "หารคำ" ในเวลาต่อมา เป็นต้นราชวงศ์คำ และ ราชวงศ์โคตะมะ(ขอม) และเป็นผู้ที่นำวิชาการต่างๆ มาใช้เพื่อการปกครอง มหาอาณาจักรสุวรรณภูมิ ให้เกิดแบบแผน และเป็นผู้ที่ นำพระพุทธศาสนา มาทำการเผยแพร่ในดินแดนสุวรรณภูมิ อย่างได้ผล ในสมัยของ สหราชอาณาจักรเทียน ในเวลาต่อมาด้วย
ยังมีหลักฐานในวรรณกรรมในพุทธศาสนา ชื่อ มหากรรมวิภัง ได้บันทึกกล่าวถึงพ่อค้าผู้มีความเชี่ยวชาญในการเดินเรือ มักจะนิยมเดินทางไปค้าขายยังดินแดนสุวรรณภูมิ และในบันทึกดังกล่าว ยังกล่าวว่า พระควัมปติเถระ(ความปิติเถระ) เป็นผู้ร่วมนำพระพุทธศาสนา จากอินเดีย มาประดิษฐาน ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ เมื่อปี พ.ศ.๘ ด้วย
จากหลักฐานต่างๆ ที่กล่าวมา แสดงให้เห็นว่า พระพุทธศาสนา ได้เข้ามาเผยแพร่ยังดินแดนสุวรรณภูมิ ตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยได้มาตั้งสำนักสงฆ์อยู่ที่ ภูเขาภิกษุ หรือ ภูเขาชวาลา ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ เมืองครหิต(คลองหิต) ซึ่งเป็นเมืองราชธานี ของ มหาอาณาจักรสุวรรณภูมิ ปัจจุบันคือท้องที่ บ้านชวาลา ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี นั่นเอง อย่างไรก็ตาม พระพุทธศาสนา ยังมิได้แพร่หลาย เพราะมิได้รับการสนับสนุนจาก มหาราชา ผู้ปกครอง มหาอาณาจักรสุวรรณภูมิ
ต่อมา พระพุทธศาสนา ได้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว ในสมัยของ สหราชอาณาจักรเทียน ซึ่ง มหาจักรพรรดิท้าวกูเวร ได้นำพระพุทธศาสนา มาใช้เป็นศาสนาประจำชาติ พระพุทธศาสนา จึงขยายตัวอย่างรวดเร็วในดินแดนสุวรรณภูมิ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๓๐๔ เป็นต้นมามิ