บทที่ ๖
เมืองไชยา สมัยราชวงศ์เทียนเสน เปลี่ยนชื่อเป็น เมืองกิ่งดาว
ความเป็นมาของราชวงศ์เทียนเสน
มหาจักรพรรดิราชวงศ์เทียนเสน แห่ง สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ประกอบด้วยมหาจักรพรรดิ ๑๔ รัชกาล ตั้งแต่ปี พ.ศ.๗๙๒ ถึงปี พ.ศ.๙๗๓ ได้ปกครองดินแดน สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ เป็นเวลารวมกันทั้งสิ้นประมาณ ๘๑ ปี ยึดถือกันว่า มหาจักรพรรดิท้าวเทียนเสน เป็นต้นราชวงศ์เทียนเสน ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นอีกภพชาติหนึ่ง ของ ขุนเทียน เมื่อประสูติมาใหม่ๆ ได้รับพระราชทานพระนามว่า เจ้าชายเสนอ้าย แต่ต่อมา เจ้าชายพระองค์นี้ ระลึกชาติได้ว่า พระองค์เป็นดวงวิญญาณ ของ มหาจักรพรรดิท้าวพันตา(ขุนเทียน) มาเกิดในภพชาติใหม่ จึงมีการพระราชทานพระนามใหม่ว่า เจ้าชายเทียนเสน ซึ่งได้ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นมหาจักรพรรดิ พระองค์หนึ่ง ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ในช่วงสั้นๆ พระองค์ สวรรคต ในสงครามปราบปราม อาณาจักรโจฬะบก(เขมร) จึงได้รับการยกย่องว่า เป็นต้นราชวงศ์เทียนเสน
มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน(ท้าวเล็งดอน) เป็นพระราชโอรส ของ ท้าวเทียนเสน ถูกเรียกพระนามในวัยเยาว์ว่า เสนอ้าย ต่อมา เจ้าจีนหลิน ได้เป็นมหาจักรพรรดิ ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กรุงจีนหลิน ในรัชกาลถัดมา พระองค์เป็นผู้ยิงศรธนูอาบยาพิษ ไปถูก พระเจ้าพันทีมัน แห่ง อาณาจักรโจฬะบก(เขมร) ใน "สงครามพันทีเรา" จนกระทั่ง มหาราชาพันทีมัน สวรรคต ในสงคราม และต่อมา มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน แห่ง สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ได้ยกกองทัพเข้าปราบปราม อาณาจักรของชนชาติทมิฬโจฬะ จนกระทั่ง สามารถรวบรวมดินแดนไทย เป็นปึกแผ่น อีกครั้งหนึ่ง
สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ สมัย ราชวงศ์เทียนเสน กำเนิดขึ้นเมื่อเกิด สงครามพันทีเรา ปราบปรามชนชาติทมิฬโจฬะ ซึ่งมายึดครองดินแดนสุวรรณภูมิ ตามนโยบายของ มหาอาณาจักรจีนภาคใต้ ซึ่งต้องการสร้างสงครามขึ้นมาภายในดินแดนสุวรรณภูมิ เพื่อขัดขวางมิให้ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ทำสงครามยึดครองดินแดนของชนชาติอ้ายไต ซึ่งมหาอาณาจักรจีน ยึดครองไป กลับคืน สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ จึงต้องทำสงครามกับ อาณาจักรต่างๆ ของชนชาติทมิฬโจฬะ สลับกับการทำสงครามกับ มหาอาณาจักรจีนภาคใต้ อย่างต่อเนื่อง
มหาจักรพรรดิ และ จักรพรรดิ ราชวงศ์เทียนเสน สมัย สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ
พระนางแสงดาว รอดชีวิตจากสงครามพันทีมัน พ.ศ.๗๗๙
ที่พระราชวังหลวง หอคำ ของ แคว้นจิวจิ(ไชยา) นั้น มีสระน้ำแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่กลางพระราชวังหลวง เรียกว่า สระนาลี้เก กลางสระนาลี้เก มีต้นมะพร้าวนาลี้เก อยู่ต้นหนึ่ง มีเจดีย์รูประฆังคว่ำ ถูกใช้เป็นที่เก็บบรรจุอัฐิ ของ มหาจักรพรรดิท้าวหารคำ(พระเจ้าสุมิตร) ฯลฯ ส่วนรอบๆ สระนาลี้เก มีเจดีย์รูประฆังคว่ำ ถูกใช้เป็นที่เก็บบรรจุอัฐิของ เชื้อราชวงศ์ และขุนนาง ต่างๆ รอบๆ สระนาลี้เก ซึ่งตั้งอยู่กลางพระราชวังหลวง ของ แคว้นจิวจิ(ไชยา) สระนาลี้เก ตั้งอยู่ในบริเวณสวนโมกข์ผลาราม อ.ไชยา ในปัจจุบัน
ผลจากการที่ ราชาเจ้าจิวคำ(คำแท่ง) ใช้ชีวิตสับปลับเสเพล ไม่ครองราชย์สมบัติ ตามที่ กฎมณเฑียรบาล กำหนดให้ต้องปฏิบัติ และไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ จึงมีการเปรียบเทียบ เจ้าจิวคำ ในคำกลอนสอนลูก เปรียบเทียบ เจ้าจิวคำ เหมือนกับต้นมะพร้าว แห่ง สระนาลี้เก ซึ่งมีต้นเดียวที่ตั้งอยู่อย่างโนเน(โดดเดี่ยว) ไม่เหมือนกับมะพร้าวพันธุ์อื่นๆ ในดินแดนของ อาณาจักรชวาทวีป ซึ่งเกิดเป็นกลุ่ม ทั้งๆ ที่ พระราชวังแคว้นจิวจิ(ไชยา) ตั้งอยู่ท่ามกลางสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และ สถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา และยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะล้อมรอบด้วย รอยพระบาทของพระพุทธองค์ ที่ถ้ำบ่อ ๗ แห่ง และรอยพระบาทพระพุทธองค์ ณ ภูเขาสุวรรณคีรี ซึ่งมีเทวดา มาคอยปกป้องรักษาคุ้มครอง ฝนตก ก็ไม่ต้อง ฟ้าร้องก็ไม่ถึง จึงมีการเปรียบเทียบพระราชวังเมืองจิวจิ(ไชยา) เทียบกับ สระนาลี้เก ซึ่งกล่าวว่า..
"..น้องเอย เรื่องสระนาลี้เก มีพร้าว(มะพร้าว)นาเก ต้นเดียว ตั้งอยู่โนเน(โดดเดี่ยว) กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกก็ไม่ต้อง ฟ้าร้องก็ไม่ถึง ผู้ใดหยั่งถึง คือผู้มีบุญเอย..."
คำว่า "..สระนาลี้เก มีมะพร้าวต้นเดียว ตั้งอยู่โนเน กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกก็ไม่ต้อง ฟ้าร้องก็ไม่ถึง..." จึงหมายถึงดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ ของ แคว้นจิวจิ(ไชยา) แต่ ราชาเจ้าคำ(จิวเทียนคำแท่ง) กลับไม่อยู่ในศีลธรรมอันดี จึงกลายเป็นแว่นแคว้นเดียว แห่ง อาณาจักรชวาทวีป ผู้พ่ายแพ้สงคราม กับกองทัพของ มหาราชาพันศักดา(ตาหมิง) จนต้องสวรรคต ในสงครามพันทีมัน ที่เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๗๗๙
เนื่องจาก กองทัพของ มหาราชาพันศักดา(ตาหมิง) แห่ง อาณาจักรโจฬะน้ำ(เกาะบอร์เนียว) ได้ใช้กองทัพของชนชาติทมิฬโจฬะ ซึ่งซ่อนตัวอยู่ที่ เมืองตาหมิง และ เมืองสักเวียต โดยมีทหารบางส่วน ได้ปลอมตัวมาเป็นข้าทาส อยู่ในพระราชวังหลวง รับใช้ ราชาคำ(เจ้าจิวเทียนคำแท่ง) อยู่ที่ แคว้นจิวจิ(ไชยา) คอยรับใช้ และคอยมอมสุรา เจ้าจิวคำ(เจ้าจิวเทียนคำแท่ง) ตามแผนการที่กำหนด ดังนั้นเมื่อพระราชวังหลวง พระราชวังหอคำ ของ แคว้นจิวจิ(ไชยา) ถูกปิดล้อม พวกข้าศึกทมิฬโจฬะ ซึ่งปลอมตัวเป็นข้าทาส ในพระราชวังหลวง ได้ลุกขึ้นจับอาวุธ ประสานกับการโจมตีด้านนอกพระราชวังหลวง หวังที่จะปลงพระชนม์ ราชาจิวคำ(จิวเทียนคำแท่ง) แต่ ราชาเจ้าจิวคำ(จิวเทียนคำแท่ง) ชักพระแสงดาบ ออกต่อสู้ กับทาสรับใช้ ในขณะที่กำลังเมาสุรา อย่างหนัก
ขณะที่เกิดสงคราม พระนางแสงดาว อัครมเหสี ของ เจ้าจิวคำ(จิวเทียนคำแท่ง) ซึ่งกำลังทรงพระครรภ์ ได้เสด็จไปบวงสรวงเซ่นไหว้ เทวรูปพระกฤษณะ อยู่ที่ถ้ำบ่อ ๗ แห่ง ภูเขาแม่นางเอ พร้อมเชื้อสายพวกราชวงศ์ สามารถหลบหนีไปยัง แคว้นปากคูหา(ระนอง) ได้สำเร็จ ส่วน เจ้าจิวคำ(จิวเทียนคำแท่ง) ดื่มสุรา ไปมาก ยังไม่สร่างเมา พอพระราชวังหอคำ ถูกเผา ราชาเจ้าจิวคำ(คำแท่ง) ก็จับพระแสงดาบ ออกต่อสู้กับข้าศึก ซึ่งปลอมตัวเป็นทาสรับใช้ ในขณะที่เมาสุรา จึงต้องบาดเจ็บ และยังถูกไฟลวก ต้องกระโดดลงสระนาลี้เก ว่ายน้ำไปหลบอยู่ที่โคนต้นมะพร้าว กลางสระน้ำนาลี้เก ดังกล่าว แต่ในที่สุด ราชเจ้าจิวคำ(คำแท่ง) ทนพิษบาดแผลไม่ไหว จึงสวรรคต อยู่ที่โคนต้นมะพร้าว กลางสระนาลี้เก
ผลของการทำสงคราม ครั้งนั้น กองทัพของ มหาราชาพันศักดา(ตาหมิง) สามารถนำกองทัพเข้าพิชิตพระราชวังหลวง ของ แคว้นจิวจิ(ไชยา) เป็นผลสำเร็จ พร้อมกับการเข้ายึดทรัพย์ และเผาพระราชวังหอคำ เสียสิ้น กองทัพ ของ มหาราชาพันศักดา(ตาหมิง) ได้กวาดต้อนเชลยศึก เมืองศรีโพธิ์ เดินทางโดยทางเรือ ไปยัง อาณาจักรโจฬะบก(เขมร) แคว้นจิวจิ จึงร้างไป ประมาณ ๒๐ ปี
ในขณะที่เกิดสงครามทำลาย แคว้นจิวจิ(ไชยา) นั้น พระนางแสงดาว อัครมเหสี ของ ราชาจิวคำ(คำแท่ง) แห่ง ราชวงศ์คำ ทราบข่าวว่า สงครามระหว่าง สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กับ อาณาจักรโจฬะบก(เขมร) และ อาณาจักรโจฬะน้ำ(เกาะบอร์เนียว) ยังไม่ยุติ พระนางแสงดาว จึงได้ว่าจ้างให้ ชาวรามัญ(ชนชาติกลิงค์ ที่ผสมเผ่าพันธุ์กับชนชาติทมิฬโจฬะ) เพื่อให้เป็นผู้นำทาง เดินทางไปยังแคว้นรามัญ(ระนอง) ไปอาศัยอยู่กับฤษี ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง ในเรื่องนี้ พงศาวดารไทยใหญ่ ได้บันทึกไว้ว่า...
"...อัครมหาเทวี(พระนางแสงดาว) แห่งแคว้นโกสมพี(ไชยา) พระองค์ทรงตั้งครรภ์แก่มากแล้ว วันหนึ่งพระนางได้ไปนอนผึ่งแดด เพื่อรับแสงพระอาทิตย์ และบังเอิญในวันนั้น พระนางห่มผ้าคลุมสีแดง(เพื่อเดินทางไปบวงสรวงเซ่นไหว้ ศาลพระกฤษณะ ณ บ่อ ๗ แห่ง) นกมหาติลังคะ(กองทัพทมิฬโจฬะ) เกิดบินผ่านเข้ามา ได้คาบนางบินไปไว้ยังป่าหิมวันต์...”
ต่อมา พระนางแสงดาว ได้ประสูติ พระราชโอรส มีพระนามว่า เจ้าแสงคำ จนกระทั่งต่อมา เจ้าแสงคำเชื้อสายราชวงศ์ เจ้าจิวเทียนคำแท่ง(คำแท่ง) ได้กลับมารื้อฟื้น แคว้นจิวจิ(ไชยา) หรือ แคว้นโกสมพี(ไชยา) ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า แคว้นกิ่งดาว(ไชยา) ในเวลาต่อมา
แคว้นจิวจิ(ไชยา) ถูกฟื้นฟูโดย เจ้าชายแสงคำ พ.ศ.๗๙๙
ในรัชสมัยของ มหาจักรพรรดิท้าวพันวัง(ท้าวเจตราช) พระองค์มุ่งเน้นแต่เสพกาเม เพราะมีพระชายาถึง ๑,๐๐๐ พระนาง สร้างพระราชวังถึง ๑,๐๐๐ พระราชวัง ใช้ชีวิตอย่างเสพสุข ส่วน ราชาจิวคำแท่ง(คำแท่ง) ผู้ปกครองแคว้นจิวจิ(ไชยา) มุ่งเน้นแต่เสพสุราเมไร ไม่เคยสนพระทัย เคารพสักการะ เทวสถาน ของ ท้าวมหาพรหม(พระกฤษณะ) ณ ถ้ำบ่อ ๗ แห่ง ทำให้บ้านเมืองเต็มไปด้วยความขัดแย้ง และเกิดความแตกแยกขึ้นทั่วไปในดินแดนสุวรรณภูมิ
จนกระทั่งในรัชสมัยของ มหาจักรพรรดิเจ้าตาขุน(ท้าวเจตตาล) ชนชาติทมิฬโจฬะ แห่ง อาณาจักรโจฬะบก(เขมร) และ อาณาจักรโจฬะน้ำ(บอร์เนียว) ได้ก่อกบฏ ยกกองทัพใหญ่เข้าโจมตีหลายแว่นแคว้น ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ โดยเฉพาะ ได้ยกกองทัพเข้าโจมตี แคว้นจิวจิ(ไชยา) ในขณะที่ พระนางแสงดาว ซึ่งเป็นพระราชธิดา ของ จักรพรรดิท้าวเทียนเสน หรือ เป็นพระเจ้าหลานเธอของ มหาจักรพรรดิท้าวเสนะ กำลังทรงพระครรภ์ และได้ไปสักการะเทวสถาน ท้าวมหาพรหม(พระกฤษณะ) ณ บริเวณถ้ำบ่อ ๗ แห่ง เป็นเหตุให้ พระนางแสงดาว สามารถหลบหนีข้าศึก ไปได้ หลังจากนั้น ชนชาติทมิฬโจฬะ ได้เข้าไปทำลาย เทวรูป และ เทวสถาน ของ ท้าวมหาพรหม(พระกฤษณะ) ซึ่งถือว่า เป็นที่เคารพ ของ ชนชาติอ้ายไต ในดินแดนสุวรรณภูมิ ให้พังเสียหายยับเยิน พร้อมกับการสวรรคต ของ ราชาจิวคำเทียนคำแท่ง(คำแท่ง) ซึ่งเป็นพระภัสดา(สามี) ของ พระนางแสงดาว เป็นเหตุให้ แคว้นจิวจิ(ไชยา) ถูกชนชาติทมิฬโจฬะ เข้าทำลาย จึงต้องร้างไปตั้งแต่ปี พ.ศ.๗๗๙ เป็นต้นมา พระนางแสงดาว อัครมเหสี ของ ราชาจิวเทียนคำแท่ง(คำแท่ง) ที่กำลังทรงพระครรภ์ และสามารถหลบหนีไปได้ ต่อมาได้ประสูติพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง มีพระนามว่า เจ้าชายแสงคำ(จิวแท่งคำ) ซึ่งพระนางแสงดาว ได้นำ เจ้าชายแสงคำ(จิวแท่งคำ) ไปเลี้ยงดู ในถ้ำ กับฤษี ณ แคว้นรามัญ
ต่อมา เจ้าชายแสงคำ(จิวแท่งคำ) มีพระชนมายุครบ ๗ พรรษา พระนางแสงดาว ซึ่งเป็น พระเจ้าหลานเธอ ของ มหาจักรพรรดิท้าวเสนะราช ก็นำ เจ้าชายแสงคำ(จิวคำแท่ง) มาถวายแด่ มหาจักรพรรดิเสนะราช เพื่อให้บวชเรียนตามราชประเพณี และเมื่อมีพระชนมายุครบ ๑๑ พรรษา ได้ลาสิกขา ออกไปช่วยราชการ จักรพรรดิเจ้าจีนหลิน ที่กรุงจีนหลิน ต่อมา ประมาณปี พ.ศ.๗๙๓ เจ้าชายเสนชัย พระอนุชา ของ มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน ได้มารื้อฟื้น แคว้นจิวจิ(ไชยา) ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ในสงครามพันทีเรา เจ้าชายเสนชัย สวรรคต ในสงคราม แคว้นจิวจิ(ไชยา) จึงร้างไปอีกครั้งหนึ่ง ในเรื่องนี้ พงศาวดารไทยอาหม ได้บันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า...
เมื่อ ขุนแสงอู(แท่งคำ) มีพระชนมายุได้ ๗ พรรษา(พ.ศ.๗๘๗) พระนางแสงดาว ได้นำขุนแสงอู(แท่งคำ) ไปเข้าเฝ้า พระอินทร์(มหาจักรพรรดิท้าวเสนะราช) ขุนพรหม(จักรพรรดิเจ้าเทียนเสน) ก็เสด็จลงมาพระราชทานติ่ง หรือ พิณวิเศษให้ เจ้าชายแสงอู(แท่งคำ) จึงได้ตั้งพระนามใหม่ ว่า แสงอูติ่ง(เจ้าแท่งคำแสงอู่ติ่ง) ต่อมาพระองค์ได้กลับคืนเมือง(แคว้นจิวจิ-ไชยา) และได้ครองเมือง(จิวจิ-ไชยา) แทนพระราชบิดา(เจ้าจิวเทียนคำแท่ง) และได้เดินทางกลับไปรับพระราชมารดา(พระนางแสงดาว) กลับคืนเมือง ในเวลาต่อมา...”
หลักฐานเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า เมื่อ แคว้นจิวจิ(ไชยา) หรือ แคว้นโกสมพี(ไชยา) ได้ล่มสลายลง เพราะผลจากการที่ กองทัพของ ชนชาติทมิฬโจฬะ เข้าโจมตี แว่นแคว้นดังกล่าว ได้กลับฟื้นคืนชีพ ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อศึกษาพงศาวดาร ของ อาณาจักรโกสมพี(แสนหวี-ไทยใหญ่) และ พงศาวดารอาณาจักรไทยอาหม จะพบเห็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า ชนชาติอ้ายไต จาก แคว้นจิวจิ(ไชยา) หรือ แคว้นโกสมพี(ไชยา) เป็นผู้ไปสร้างอาณาจักรต่างๆ ขึ้นมาในดินแดนประเทศพม่า ในปัจจุบัน อีกครั้งหนึ่ง ในเวลาต่อมา
ต่อมา เจ้าชายแสงคำ(แท่งคำ) มีพระชนมายุ ๑๙ พรรษา(พ.ศ.๗๙๙) ใกล้ถึงวัยออกบวชตามราชประเพณี มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน จึงชักชวนให้ เจ้าชายแสงคำ(แท่งคำ) และ พระนางแสงดาว มาร่วมกันรื้อฟื้น ศาลพระกฤษณะ และ สร้างเทวสถานพระกฤษณะ ณ บริเวณถ้ำบ่อ ๗ แห่ง ขึ้นมาใหม่ เพื่อเตรียมรื้อฟื้น แคว้นโกสมพี(ไชยา) หรือ แคว้นจิวจิ(ไชยา) ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
เจ้าแสงคำ เปลี่ยนชื่อ เมืองจิวจิ เป็น เมืองกิ่งดาว(ไชยา) พ.ศ.๘๐๕
แคว้นจิวจิ(ไชยา) เคยตั้งอยู่ในดินแดนท้องที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน มาก่อน ก่อนหน้านี้เคยมีชื่อเรียกว่า แคว้นมิถิลา(ไชยา) แคว้นโกสมพี และ แคว้นจิวจิ(ไชยา) ตามลำดับ แต่ต่อมา แคว้นจิวจิ(ไชยา) ต้องล่มสลายลง เพราะผลจากการที่ กองทัพ ของ มหาราชาพันทีมัน แห่ง อาณาจักรโจฬะบก(เขมร) และ มหาราชาพันตาหมิง(มหาราชาพันศักดา) แห่ง อาณาจักรโจฬะน้ำ(เกาะบอร์เนียว) ได้ส่งกองทัพ เข้าโจมตี แคว้นจิวจิ(ไชยา) เมื่อประมาณปี พ.ศ.๗๗๙ ทำให้ ราชาเจ้าจิวเทียนคำแท่ง(คำแท่ง) หรือ ท้าวคำแท่ง หรือ ท้าวคำ แห่ง ราชวงศ์จิว หรือ ราชวงศ์คำ สวรรคต ณ บริเวณพื้นที่ สระนาเก คือพื้นที่บริเวณ สวนโมกข์ผลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน
เมื่อเกิดสงครามทำลายแคว้นจิวจิ(ไชยา) ครั้งนั้น พระนางแสงดาว อัครมเหสี ของ ราชาจิวเทียนคำแท่ง(คำแท่ง) เป็นเชื้อสายราชวงศ์ แห่ง อาณาจักรไทยใหญ่ กำลังทรงพระครรภ์ และกำลังไปบวงสรวง เทวสถานพระกฤษณะ ณ บริเวณถ้ำบ่อ ๗ แห่ง ภูเขาแม่นางเอ ในขณะที่กองทัพข้าศึก เข้าโจมตีพระราชวังหลวง พระนางแสงดาว จึงสามารถหลบหนีข้าศึกทมิฬโจฬะ ไปยัง แคว้นปากคูหา(ระนอง) พร้อมเชื้อสายพวกราชวงศ์ ได้สำเร็จ
ต่อมา เมื่อ พระนางแสงดาว ทราบข่าวว่า สงครามระหว่าง สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กับ อาณาจักรโจฬะบก(เขมร) และ อาณาจักรโจฬะน้ำ(เกาะบอร์เนียว) ยังไม่ยุติ พระนางแสงดาว จึงได้ว่าจ้างให้ ชาวรามัญ(ชนชาติกลิงค์ ที่ผสมเผ่าพันธุ์กับชนชาติทมิฬโจฬะ) เพื่อให้เป็นผู้นำทาง เดินทางไปส่งยัง อาณาจักรไทยใหญ่ ซึ่งเป็น อาณาจักร ของ พระราชมารดา แต่เนื่องจาก พระนางแสงดาว ต้องประสูติพระราชโอรส ระหว่างเดินทาง จึงตั้งพระนามว่า เจ้าชายแสงคำ(แท่งคำ) เป็นเหตุให้ พระนางแสงดาว และไพร่พล ได้ไปอาศัยอยู่กับพระฤษี จนกระทั่งพระราชโอรส เจ้าชายแสงคำ(แท่งคำ) เติบใหญ่เดินได้
จนกระทั่งปี พ.ศ.๗๘๗ เจ้าชายแสงคำ(หงิริงคำ หรือ เจ้ายาทิพย์ หรือ แท่งคำ) มีพระชนมายุครบ ๗ พรรษา พระนางแสงดาว จึงต้องนำ เจ้าชายคำแสง(แท่งคำ) เสด็จมาเข้าเฝ้า มหาจักรพรรดิท้าวเสนะ ณ กรุงราชคฤห์(โพธาราม ราชบุรี) เพื่อมอบให้ มหาจักรพรรดิท้าวเสนะ จัดให้ เจ้าชายคำแสง(แท่งคำ) ออกบวชเป็นสามเณร เพื่อรับการศึกษา ตามราชประเพณี ที่กำหนด
เจ้าชายแสงคำ(แท่งคำ) ได้ออกบวชเป็นสามเณร เพื่อรับการศึกษา ตามราชประเพณี เป็นเวลาครบ ๔ พรรษา ก็มีพระชนมายุครบ ๑๑ พรรษา จึงลาสิกขา ออกมาช่วยราชการ เจ้าจีนหลิน อยู่ในพระราชวังหลวง ของ กรุงจีนหลิน(บ้านโป่ง) แคว้นราชคฤห์ จนกระทั่งปี พ.ศ.๗๙๖ เจ้าชายแสงคำ(แท่งคำ) พระราชโอรส ของ เจ้าจิวเทียนคำแท่ง(คำแท่ง) และ พระนางแสงดาว แห่ง แคว้นโกสมพี(ไชยา) มีพระชนมายุได้ ๑๙ พรรษา จึงได้รับมอบหมายจาก มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน ให้เสด็จกลับไปรื้อฟื้น แคว้นโกสมพี(ไชยา) ขึ้นมาใหม่ อีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งปี พ.ศ.๗๙๙ มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน ได้ทำการการรื้อฟื้นบูรณะฟื้นฟู เทวสถาน พระกฤษณะ ขึ้นมาในพื้นที่ ถ้ำบ่อ ๗ แห่ง ภูเขาแม่นางเอ ตามที่กล่าวมาแล้ว
เจ้าชายแสงคำ(แท่งคำ) ได้ตัดสินพระทัยเลือกพื้นที่ทุ่งศรีโพธิ์ ณ บริเวณ ภูเขาศรีโพธิ์(ภูเขาสายหมอ) ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากเทวสถาน ท้าวมหาพรหม ซึ่งถูกรื้อฟื้นขึ้นใหม่ เพื่อใช้เป็นที่ตั้งของศูนย์กลางอำนาจรัฐ จึงได้เปลี่ยนชื่อ เมืองโกสมพี(ไชยา) เป็นชื่อใหม่ว่า เมืองกิ่งดาว(ไชยา) เรื่อยมา ในเรื่องนี้ พงศาวดารไตอาหม บันทึกว่า...
“...หงิหริงคำ(เจ้าจิวจิ) ได้เสด็จมายังประเทศ ของ เทพ(สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ) แล้วได้มาเสวยราชย์สมบัติ ที่ นยาปุลัข(อาณาจักรชวาทวีป) ณ เมืองกระยาทิพย์(ไชยา) เจ้าดาคำ(จิวเทียนคำแท่ง) ก็ถูกส่งลงมาเช่นกัน ลงมายังดินแดนแห่งผู้ไร้อายุไข(ศรีโพธิ์) เจ้าดาคำ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้า(มหาราชา) แห่งดินแดน ฟ้าร้องและฟ้าแลบ(อาณาจักรชวาทวีป) ปกครองนาคฟ้า ๘๐๐,๐๐๐ คน เจ้าดาคำ(จิวเทียนคำแท่ง) มีพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง มีพระนามว่า เจ้าแท่งคำ(แสงคำ) ซึ่งได้เสด็จมาปกครอง แคว้นมิถิลา(ไชยา) ซึ่งต่อมา เจ้าแท่งคำ(แสงคำ) มีโอรส ๓ พระองค์ คือ เจ้าเหมย , ขุนลู และ ขุนไล ต่อมา เจ้าเหมย ได้ปกครอง แคว้นมิถิลา(กิ่งดาว-ไชยา) และ ภูช้างคัง(คันธุลี) ส่วน ขุนลู และขุนไล ได้ไต่บันไดเหล็ก มาสร้างเมืองมังกรี(เมืองมาวหลวง) และ เมืองมังกรัม(เมืองมาว) และได้เสวยราชย์เป็นกษัตริย์ ณ เมืองทั้งสอง(อาณาจักรโกสมพี) ในเวลาต่อมา...”
ในระยะแรกๆ เมืองกิ่งดาว(ไชยา) ขึ้นกับ แคว้นพันพาน แห่ง อาณาจักรชวาทวีป จนกระทั่งปี พ.ศ.๘๐๐ เจ้าชายแสงคำ(แท่งคำ) มีพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษา จึงต้องออกบวชตามราชประเพณี เมื่อลาสิขา ได้มารับราชการเป็นอุปราช ของ แคว้นพันพาน จนกระทั่งปี พ.ศ.๘๐๕ เจ้าชายแสงคำ(แท่งคำ) มีพระชนมายุ ครบ ๒๕ พรรษา จึงได้อภิเษกสมรสกับ พระนางเกศาวดี ราชธิดาพระองค์หนึ่ง ของ มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน พร้อมกับได้ทำพิธีบรมราชาภิเษก ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นกษัตริย์ปกครอง แคว้นกิ่งดาว(ไชยา) ดินแดนไชยา จึงเกิด แคว้นกิ่งดาว(ไชยา) ขึ้นแทนที่ แคว้นโกสมพี(ไชยา) อีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ.๘๐๕ เป็นต้นมา
ต่อมา เจ้าแสงคำ(แท่งคำ) มีพระราชโอรส ๓ พระองค์ กับ พระนางเกศาวดี ซึ่งเป็นพระราชธิดา ของ มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน(ท้าวเล็งดอน) มีพระนามว่า เจ้าชายแสงตาเล(แสงเหมย) ตาลู และ ตาไล เจ้าชายแสงตาเล ต่อมาเป็นผู้สืบทอดราชย์สมบัติ แคว้นจิวจิ(ไชยา) ในเวลาต่อมา
อาณาจักรฉาน ถูกจีน ยึดครอง เกิดการอพยพครั้งที่-๑ ของ ชนชาติไทยใหญ่ พ.ศ.๘๒๘
เนื่องจาก ประเทศจีน โดย ฮ่องเต้อู่ตี้ แห่งราชวงศ์จิ๋น ได้ยกกองทัพใหญ่ เข้าโจมตี อาณาจักรฉาน(ไทยใหญ่) เป็นผลสำเร็จ เมื่อปี พ.ศ.๘๒๘ สามารถสังหารเชื้อสายราชวงศ์อาณาจักรฉาน(ไทยใหญ่) จนหมดสิ้น ส่วนเชื้อสายราชวงศ์ที่เป็นหญิงสาว จะถูกส่งไปเป็นสนม ของ ฮ่องเต้อู่ตี้ จนหมดสิ้น ทำให้ ฮ่องเต้อู่ตี้ มีพระสนมมากถึง ๑๐,๐๐๐ พระนาง สงครามครั้งนั้น ชนชาติอ้ายไต จากอาณาจักรฉาน(ไทยใหญ่) ได้อพยพลงมาทางทิศใต้ เข้ามาตั้งรกรากในดินแดน ของ ประเทศพม่า ในปัจจุบัน โดยไม่มีกษัตริย์ผู้ปกครอง ขุนนาง และ ประชาชนของ อาณาจักรฉาน(ไทยใหญ่) กลุ่มหนึ่ง ได้เดินทางมาขอเข้าเฝ้า มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน ณ กรุงจีนหลิน แคว้นราชคฤห์ อาณาจักรนาคฟ้า ซึ่งเป็นที่ตั้งศูนย์กลางอำนาจรัฐ ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ เพื่อร้องขอให้ มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน จัดส่งเชื้อสายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต ไปเป็นกษัตริย์ ปกครองประชาชน ชนชาติอ้ายไต ของ อาณาจักรไทยใหญ่ ผู้ที่อยู่ระหว่างการลี้ภัยสงคราม
หลักฐานพงศาวดารไทยอาหม ได้บันทึกไว้ว่า มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน(ท้าวเล็งดอน) ได้เรียก เจ้าสิงห์ฟ้า ราชา แห่ง แคว้นทองสิงห์คาม(กาญจนบุรี) มาหารือ ณ ท้องพระโรง ของ พระราชวังหลวง แห่ง สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กรุงจีนหลิน(บ้านโป่ง-ราชบุรี) ได้บรรยายถึงการแต่งเครื่องทรง และ สภาพของพระราชวังหลวง ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กรุงจีนหลิน(บ้านโป่ง) เพื่อจัดหาเชื้อสายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต ไปปกครอง ประชาชนผู้ที่อพยพมาจาก อาณาจักรฉาน(ไทยใหญ่) ซึ่งได้ร่วมพิจารณา จนมีข้อสรุปว่า เจ้าแสงคำ(เจ้าคำแท่ง) เป็นผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์ อาณาจักรฉาน(ไทยใหญ่) มาก่อน
เนื่องจาก เจ้าคำแสง(เจ้าคำแท่ง) มีพระราชโอรส กับ พระราชธิดา(พระนางเกศาวดี) ของ มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน(ท้าวเล็งดอน) จำนวน ๓ พระองค์ มีพระนามว่า เจ้าชายแสงตาเล เจ้าชายพระองค์นี้ ดำรงตำแหน่งเป็น อุปราชของ แคว้นกิ่งดาว(ไชยา) และจะต้องเป็นผู้สืบทอดราชย์สมบัติ แคว้นกิ่งดาว(ไชยา) ในรัชกาลถัดมา มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน จึงโปรดเกล้าให้ เจ้าชาย ๒ พี่น้อง คือ เจ้าชายแสงตาลู(แสงลูหลวง) และ เจ้าชายแสงตาไล(แสงไล) อพยพไพร่พล ออกไปเป็นกษัตริย์ปกครอง ประชาชน ตามที่ประชาชนอาณาจักรไตใหญ่ ร้องขอมา
กำเนิด แคว้นศรีชาติตาลู และ แคว้นศรีชาติตาไล พ.ศ.๘๓๑
หลักฐาน พงศาวดารแคว้นแสนหวี แห่งอาณาจักรฉาน(ไตใหญ่) ได้บันทึกว่า เชื้อสายราชวงศ์ของ ราชาเจ้าเทียนคำแท่ง(คำแท่ง) แห่ง แคว้นโกสมพี(ไชยา) ได้สร้าง อาณาจักรโกสมพี(แสนหวี) ขึ้นในเวลาต่อมาในพื้นที่ดินแดน ของ ประเทศพม่า ในปัจจุบัน มีการพบหลักฐานประวัติความเป็นมาของ แคว้นโกสมพี โดย หวงฮุ่ยคุณ โดยได้ค้นพบต้นฉบับของพงศาวดาร ของ อาณาจักรโกสมพี(แสนหวี) ที่เกิดขึ้นจากเชื้อสายราชวงศ์ที่อพยพไปจาก แคว้นโกสมพี(ไชยา) สมัย สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ แล้วได้ไปสร้างอาณาจักรโกสมพี กรุงแสนหวี ขึ้นใหม่ในดินแดนประเทศพม่า ปัจจุบัน หวงฮุ่ยคุณ ได้สรุปการกำเนิด ของ อาณาจักรโกสมพี(แสนหวี) มีข้อความตอนหนึ่ง ว่า...
“...ต่อมา(พ.ศ.๘๐๕-๘๐๖) เจ้าชายแสงอูติ่ง(เจ้าชายคำแสง แห่ง แคว้นกิ่งดาว หรือ แคว้นมิถิลา) มีพระราชโอรสที่สำคัญ ๒ พระองค์ คือ ขุนลู(ศรีชาติตาลู) และ ขุนไล(ศรีชาติตาไล) เป็นผู้ออกไปสร้างบ้านแปลงเมืองให้ชาวไทยใหญ่ รู้จักทำนา สร้างคลองชลประทาน และรู้จักค้าขาย ในระยะแรกๆ(พ.ศ.๘๓๑) ขุนลู(ศรีชาติตาลู) ได้ไปสร้างเมืองมาว ส่วนขุนไล(ศรีชาติตาไล) เป็นผู้ไปสร้างเมืองกอง และเมืองยอง จนกลายเป็น อาณาจักรโกสมพี ในดินแดน ของ ชนชาติไทยใหญ่ ในเวลาต่อมา(พ.ศ.๘๕๘)..."
หลักฐานเหล่านี้ คือเรื่องราวต่อเนื่องเมื่อ แคว้นโกสมพี(ไชยา) ในท้องที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี แห่ง ราชวงศ์ มหาจักรพรรดิเจ้าหารคำ(พระเจ้าสุมิตร) ได้ล่มสลายลงชั่วคราว จากผลของสงครามที่ มหาราชาพันทีมัน และ มหาราชาพันศักดา(ตาหมิง) เชื้อสายราชวงศ์ชนชาติทมิฬโจฬะ ส่งกองทัพเข้าโจมตีทำลาย แคว้นจิวจิ(ไชยา) หรือ แคว้นโกสมพี(ไชยา) จนกระทั่ง เจ้าจิวเทียนคำแท่ง(คำแท่ง) สวรรคตในสงคราม
พระราชโอรสของ เจ้าจิวเทียนคำแท่ง มีพระนามว่า เจ้าแสงคำ ได้เดินทางมาครอบครองแว่นแคว้นเดิม โดยย้ายที่ตั้งศูนย์กลางอำนาจรัฐใหม่ โดยไปสร้างพระราชวังหลวงขึ้นบริเวณ ภูเขาศรีโพธิ์(ภูเขาสายหมอ) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของพระราชวังหลวง ดั้งเดิม พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อแคว้นใหม่ว่า “แคว้นกิ่งดาว” ต่อมา เจ้าแสงคำ ได้อภิเษกสมรสกับราชธิดา ของ มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน ซึ่งมีพระนามว่า พระนางเกศาวดี ได้มาเป็นกษัตริย์ ของ แคว้นกิ่งดาว(ไชยา) ได้มีพระราชโอรส ๓ พระองค์
เนื่องจาก ประเทศจีน โดย ฮ่องเต้อู่ตี้ แห่งราชวงศ์จิ๋น ได้ยกกองทัพใหญ่ เข้าโจมตี อาณาจักรฉาน(ไทยใหญ่ )เป็นผลสำเร็จ เมื่อปี พ.ศ.๘๒๘ สามารถสังหารเชื้อสายราชวงศ์อาณาจักรฉาน(ไทยใหญ่) จนหมดสิ้น ส่วนเชื้อสายราชวงศ์ที่เป็นหญิงสาว จะถูกส่งไปเป็นสนม ของ ฮ่องเต้อู่ตี้ จนหมดสิ้น ทำให้ ฮ่องเต้อู่ตี้ มีพระสนมมากถึง ๑๐,๐๐๐ พระนาง สงครามครั้งนั้น ชนชาติไต จากอาณาจักรฉาน(ไทยใหญ่) ได้อพยพลงมาทางทิศใต้ เข้ามาตั้งรกรากในดินแดน ของ ประเทศพม่า ในปัจจุบัน โดยไม่มีกษัตริย์ผู้ปกครอง ขุนนาง และ ประชาชนของ อาณาจักรฉาน(ไทยใหญ่) กลุ่มหนึ่ง ได้เดินทางมาขอเข้าเฝ้า มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน ณ กรุงจีนหลิน แคว้นราชคฤห์ อาณาจักรนาคฟ้า ซึ่งเป็นที่ตั้งศูนย์กลางอำนาจรัฐ ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ เพื่อร้องขอให้ มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน จัดส่งเชื้อสายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต ไปเป็นกษัตริย์ ปกครองประชาชน ชนชาติอ้ายไต ของ อาณาจักรฉาน(ไทยใหญ่) ผู้ที่อยู่ระหว่างการลี้ภัยสงคราม
หลักฐานพงศาวดารไทยอาหม ได้บันทึกไว้ว่า มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน(ท้าวเล็งดอน) ได้เรียก เจ้าสิงห์ฟ้า ราชา แห่ง แคว้นทองสิงห์คาม(กาญจนบุรี) มาหารือ ณ ท้องพระโรง ของ พระราชวังหลวง แห่ง สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กรุงจีนหลิน(บ้านโป่ง-ราชบุรี) ได้บรรยายถึงการแต่งเครื่องทรง และ สภาพของพระราชวังหลวง ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กรุงจีนหลิน(บ้านโป่ง) เพื่อจัดหาเชื้อสายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต ไปปกครอง ประชาชนผู้ที่อพยพมาจาก อาณาจักรฉาน(ไทยใหญ่) ซึ่งได้ร่วมพิจารณา จนมีข้อสรุปว่า เจ้าแสงคำ(เจ้าคำแท่ง) เป็นผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์ อาณาจักรฉาน(ไทยใหญ่) มาก่อน อีกทั้ง เจ้าคำแสง(เจ้าคำแท่ง) มีพระราชโอรส กับ พระราชธิดา(พระนางเกศาวดี) ของ มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน(ท้าวเล็งดอน) จำนวน ๓ พระองค์ มีพระนามว่า เจ้าชายแสงตาเล(แสงเหมย) เจ้าชายพระองค์นี้ ดำรงตำแหน่งเป็น อุปราชของ แคว้นกิ่งดาว(ไชยา) และจะต้องเป็นผู้สืบทอดราชย์สมบัติ แคว้นกิ่งดาว(ไชยา) ในรัชกาลถัดมา มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน จึงโปรดเกล้าให้ เจ้าชาย ๒ พี่น้อง คือ เจ้าชายแสงตาลู(แสงลูหลวง) และ เจ้าชายแสงตาไล(แสงไล) อพยพไพร่พล ออกไปเป็นกษัตริย์ปกครอง ประชาชน ตามที่ประชาชนอาณาจักรฉาน(ไทยใหญ่) ร้องขอมา
บันทึกของพงศาวดารไทยอาหม ได้ทำการบันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้มากมาย สรุปความโดยสังเขปว่า หลังจากการหารือของ เจ้าสิงห์ฟ้า กับ มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน(ท้าวเล็งดอน) เรียบร้อยแล้ว เจ้าสิงห์ฟ้า ราชา แห่ง แคว้นทองสิงห์คาม(กาญจนบุรี) ได้มอบให้ ราชทูต ชื่อ เล่งเช็ง นำม้าเร็ว เดินทางทั้งเวลากลางวัน และกลางคืน จาก กรุงจีนหลิน(บ้านโป่ง) มุ่งหน้าสู่ แคว้นมิถิลา(ไชยา) เพื่อเข้าเฝ้า มหาราชาเจ้าแสงคำ(แท่งคำ) แห่ง อาณาจักรชวาทวีป ซึ่งพงศาวดาร ได้บรรยายถึง สภาพของ พระราชวัง ของ แคว้นมิถิลา(ไชยา) ไว้อย่างมากมาย มีข้อความตอนหนึ่ง กล่าวว่า...
“...นครของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ แห่ง แคว้นมิถิลา(ไชยา) นี้ เปล่งรัศมีอันสดใส เสมือนหนึ่งว่า ได้ฉายแสงออกมาเป็นทองคำ ตามความจริงแล้ว พระราชวัง ทำด้วยทองคำ อันส่องแสงเป็นประกายสดใสขึ้นสู่ท้องฟ้า ราชทูตเล่งเซ็ง ได้สังเกตเห็นว่า ขื่อบนเพดาน ของพระราชวังแคว้นมิถิลา(ไชยา) ประดับประดาด้วยเพชรพลอย และหลังคาฉาบด้วยทองคำ เป็นประกายสดใส อันส่องแสงเป็นประกาย สดใส
ท้องพระโรงของพระราชวัง ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม กษัตริย์(แท่งคำ) แห่งแคว้นมิถิลา(ไชยา) ประทับอยู่บนพระราชวังแปดชั้น อันประดับประดาด้วย รูปภาพของช้าง ต้นไม้ และ พญานาค ซึ่งได้แกะสลักไว้รอบๆ พระแท่น มีพระมู่ลี่ สวยงามประดับประดาไปด้วยทองคำ แขวนอยู่เหนือพระเศียร ของ มหาราชา ผู้ยิ่งใหญ่...”
ต่อมา ราชทูต ได้หารือกับ เจ้าแสงคำ จนมีผลสรุปว่า พระราชโอรส ๓ พระองค์ ของ เจ้าแสงคำ คือ เจ้าแสงเล(แสงเหมย) ต้องคอยสืบทอดราชย์สมบัติ แคว้นมิถิลา(ไชยา) ส่วน พระราชโอรส อีก ๒ พระองค์ คือ เจ้าแสงลู และ เจ้าแสงไล จะถูกส่งไป สร้าง แคว้นโกสมพี(เมืองมาว) ขึ้นใหม่ ในดินแดนที่มีผู้อพยพ ชาวไทยใหญ่ มาตั้งรกรากเป็นจำนวนมาก เจ้าชายสองพี่น้อง จึงได้มีการเตรียมขุนนาง และ ผู้เชี่ยวชาญ ด้านต่างๆ เดินทางเข้าเฝ้า มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน(ท้าวเล็งดอน) เพื่อรับมอบ นโยบาย และรับคำสั่งสอน เพื่อเตรียมเดินทางไปสร้างแว่นแคว้นใหม่ ตามที่ได้รับมอบหมาย ต่อไป ซึ่งพงศาวดาร ได้บรรยายถึง สภาพของ พระราชวังหลวง ของ เมืองจีนหลิน(บ้านโป่ง) ซึ่งเป็นเมืองมหาจักรพรรดิ ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ไว้อย่างมากมาย มีข้อความตอนหนึ่ง กล่าวว่า...
“...เมืองเล็งดอน(มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน) เป็นเมืองสูงสุด(เมืองมหาจักรพรรดิ) พระราชวังหลวง ของ เมืองนี้เปล่งรัศมีอันสดใส ผู้ใดมองแล้ว สายตาจะพร่ามัวไปหมด มีภาพสลักของช้าง อันมีขอบทองขัดเงาอยู่บนกำแพงเมือง อันส่องแสงสดใส อาคารบ้านช่องในเมืองเต็มไปด้วยทองคำ เวลามองดูพระราชวัง สายตาจะพร่ามัวไปหมด หลังคาพระราชวังหลวง ก็ฉาบด้วยทองคำ ขื่อก็สร้างด้วยทองคำ ประดับประดาไปด้วยเพชรนิลจินดา ซึ่งฉายแสงเป็นประกาย มหาจักรพรรดิท้าวเล็งดอน(มหาจักรพรรดิเจ้าจีนหลิน) ประทับอยู่บนบัลลัง ๑๒ ชั้น และมีรัศมีสามารถแปล่งแสงออกมาจากพระวรกาย ของ ท้าวเล็งดอน...”
ต่อมา เจ้าชายสองพี่น้อง(แสงลู และ แสงไล) แห่ง ราชวงศ์คำ ได้เสด็จไปเป็นกษัตริย์ปกครองประชาชน อาณาจักรไทยใหญ่ ผู้ลี้ภัยสงคราม เมื่อประมาณปี พ.ศ.๘๓๑ โดยได้สร้างแคว้นใหม่ขึ้น บริเวณเมืองมาว เรียกชื่อว่า แคว้นโกสมพี เพื่อเป็นเกียรติแด่ ราชาจิวเทียนคำแท่ง(คำแท่ง) แห่ง แคว้นโกสมพี(ไชยา) ในอดีต ซึ่งได้ล่มสลายไปเมื่อปี พ.ศ.๗๗๙ โดยมี เจ้าชายแสงตาลู ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นกษัตริย์ปกครอง แคว้นโกสมพี(เมืองมาว) มีพระนามใหม่ว่า ราชาศรีชาติตาลู และมี เจ้าชายแสงตาไล เป็นอุปราช มีพระนามใหม่ว่า อุปราชศรีชาติตาไล แว่นแคว้นแห่งนี้ ขึ้นต่อ อาณาจักรนาคฟ้า ในระยะแรกๆ และถือเป็นจุดเริ่มต้น ของ กระบวนการพัฒนาการ ของ อาณาจักรชนชาติอ้ายไต สู่ อาณาจักรศรีชาติตาลู(ปยู) ซึ่งเป็นอาณาจักรหนึ่ง ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ที่เกิดขึ้นในดินแดนของประเทศพม่า ในปัจจุบัน ในเวลาต่อมา
การอพยพครั้งใหญ่ ของ ชนชาติฉาน(ไทยใหญ่ )ระลอกที่-๒ พ.ศ.๘๔๔
เหตุการณ์ในประเทศจีน ในสมัยราชวงศ์จิ๋น ซึ่ง มหาจักรพรรดิท้าวเสนไพ ขึ้นครองราชย์สมบัติ นั้น ได้มีการอพยพชาวจีน จากภาคเหนือ หลายล้านคน เข้ามาตั้งรกรากในดินแดนภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ และ ภาคตะวันออกเฉียงใต้ ของประเทศจีน ซึ่งเคยเป็นดินแดนของชนชาติอ้ายไต มาก่อน พร้อมๆ กับทำการขับไล่ชนชาติอ้ายไต(ไทย) และชนพื้นเมืองพวกแย่(ไป่เย่) ให้ออกจากที่ตั้งถิ่นฐานดั้งเดิม ซึ่งล้วนเคยเป็นแว่นแคว้น และ อาณาจักรของชนชาติอ้ายไต มาก่อนทั้งสิ้น ผู้ที่ไม่ยอมอพยพออกไป ก็จะถูกขูดรีดภาษี อย่างหนัก เป็นที่มาให้เกิด กบฏโพกผ้าเหลือง(ชาวนา) ขึ้นมาในประเทศจีน อีกครั้งหนึ่ง ประชาชนชนชาติอ้ายไต ส่วนหนึ่ง ได้อพยพลงมาตั้งรกรากในดินแดน ของ อาณาจักรโกสมพี(แสนหวี) จึงเกิดการเพิ่มประชากร อย่างรวดเร็ว
หลักฐานประวัติศาสตร์ ของ ประเทศจีน กล่าวว่า ชนชาติอ้ายไต ซึ่งตั้งรกรากอยู่ในดินแดน อดีต อาณาจักรเสฉวน กรุงเฉินตู ซึ่งเคยเป็นดินแดนอาณาจักรนครหลวงของ ชนชาติอ้ายไต ในอดีต และในสมัยสงครามโพกผ้าเหลือง ประเทศจีนได้เปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นเสฉวน(แคว้นฉู่) ภายหลังการยึดครอง ชนชาติอ้ายไต ได้ลุกขึ้นก่อกบฏ ไม่ยอมอพยพออกจากดินแดนแผ่นดินเกิด จึงเกิดเหตุความไม่สงบขึ้นมาในดินแดน แคว้นเสฉวน มาอย่างต่อเนื่อง ในรัชสมัยของ มหาจักรพรรดิเจ้าเสนไพ ฮ่องเต้ฮุ่ยตี้ ได้บังคับให้ ชนชาติตี(ทิเบต) และ ชนชาติเซียง(ทิเบต) อพยพลงไปตั้งรกรากในดินแดนแคว้นเสฉวน แทนที่ชนชาติอ้ายไต ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ.๘๔๔ เพื่อขับไล่ชนชาติอ้ายไต(ไทย) ออกจากแคว้นเสฉวน จึงเกิดการอพยพ ของ ชนชาติอ้ายไต จากแคว้นเสฉวน ลงมายังแคว้นโกสมพี ซึ่ง ขุนลู และ ขุนไล กำลังไปดำเนินการพัฒนาดินแดน ให้เกิดขึ้นเป็น อาณาจักร ตามที่กล่าวมาแล้ว
เนื่องจาก ชนชาติอ้ายไต ไม่ยินยอมอพยพออกจากแผ่นดินเกิด จึงเกิดสงครามระหว่างกัน จนกระทั่ง กองทัพของ ชนชาติตี และ ชนชาติเซียง สามารถ ปราบปรามชนชาติอ้ายไต(ไทย) สำเร็จ โดยสามารถยึดครอง เมืองเฉินตู อันเป็นเมืองนครหลวง ของ แคว้นเสฉวน เป็นผลสำเร็จ และตั้งอาณาจักรของตนขึ้นมาใหม่ เรียกว่า อาณาจักรต้าฉิ้ง เป็นที่มาให้ชนชาติอ้ายไต ต้องอพยพลงมาทางใต้ อีกครั้งหนึ่ง โดยได้อพยพลงมาตั้งรกราก ในดินแดนของ แคว้นโกสมพี เพิ่มขึ้น เป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่มาให้มีการสร้างแว่นแคว้นต่างๆ ขึ้นมาทางทิศใต้ ของ แคว้นโกสมพี อย่างรวดเร็ว
หลักฐานประวัติศาสตร์ ของ ประเทศจีน บันทึกไว้ว่า เมื่อปี พ.ศ.๘๔๗ กองทัพชนชาติทิเบต ซึ่งเป็นเครื่องมือของ ประเทศจีน ได้นำชาวทิเบต ชนชาติตี และ ชนชาติเซียง เข้ามาทำสงครามปราบปรามชนชาติอ้ายไต จนกระทั่งสามารถยึดครอง เมืองเฉิงตู ซึ่งเป็นเมืองนครหลวงของ แคว้นเสฉวน เป็นผลสำเร็จ และตั้งอาณาจักรของตนขึ้นมา เรียกว่า อาณาจักรต้าฉิ้ง โดยมีบุตรชายของ หลี่เทอะ ชื่อ ลี่สง ตั้งตนเป็น ฮ่องเต้ ประกาศปกครอง แคว้นเสฉวน ของ ชนชาติอ้ายไต(ไทย) เรียกพระนามว่า ฮ่องเต้ลี่สง ต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อ อาณาจักรต้าฉิ้ง เป็นชื่อใหม่ว่า อาณาจักรเฉียนฮั่น เป็นอาณาจักรแรก ที่แตกแยกออกมาจากดินแดนประเทศจีน หลังสมัย ๓ ก๊ก พร้อมกับการปราบปรามชนชาติอ้ายไต ออกไปจากดินแดน แคว้นเสฉวน อย่างต่อเนื่อง
ในปีเดียวกัน ชนพื้นเมืองชนเผ่ามองโกล ชนชาติ พวกซ่งหนู นำโดยสายสกุล แซ่หลิว ชื่อ หลิวเยียน อ้างการมีสายสกุลราชวงศ์ที่เชื่อมโยงสายราชวงศ์ฮั่น จากการสมรสกับ ราชวงศ์ฮั่น มาในอดีต ลุกขึ้นมาตั้งตัวเป็น ฮ่องเต้ ปกครองดินแดน ของ อาณาจักรเสฉวน ของชนชาติอ้ายไต ที่ถูกแบ่งแยกออกมา เรียกดินแดน อาณาจักรใหม่ ของตนเองว่า อาณาจักรฮั่น หรือ อาณาจักรเฉียนเจ้า อีกอาณาจักรหนึ่ง โดยมีเมืองนครหลวงอยู่ที่ เมืองผิงหยาง ซึ่งตั้งอยู่ในมณฑลซานซี ปัจจุบัน หรือ แคว้นฉู่ ดั้งเดิม
อาณาจักรฮั่น มีการสร้างแว่นแคว้นต่างๆ ในดินแดนของ อาณาจักรเสฉวน ดั้งเดิม ขึ้นเป็น ๑๖ แว่นแคว้น โดย ฮ่องเต้หลิวเยียน อ้างที่จะกอบกู้ราชวงศ์ฮั่น กลับคืน เช่นกัน ความขัดแย้งดังกล่าว เป็นเหตุให้ มีการทำสงครามไล่ชนชาติอ้ายไต ออกจากดินแดน อดีต อาณาจักรเสฉวน จึงเกิดการอพยพ ของ ชนชาติอ้ายไต จากดินแดน อาณาจักรเสฉวน ลงมายัง แคว้นโกสมพี ซึ่ง ขุนลู และ ขุนไล กำลังไปดำเนินการพัฒนาดินแดน ให้เกิดขึ้นเป็น อาณาจักร ในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นจำนวนมาก เป็นที่มาให้เกิด ๔ อาณาจักรในดินแดนประเทศพม่า ในปัจจุบัน คือ อาณาจักรศรีชาติตาลู อาณาจักรศรีชาติตาไล อาณาจักรพิง และ อาณาจักรไตอาหม ในเวลาต่อมา
เจ้าชายตาลู และ เจ้าชายตาไล ให้กำเนิด อาณาจักรโกสมพี กรุงแสนหวี พ.ศ.๘๕๘
หลักฐาน พงศาวดารแคว้นโกสมพี กรุงแสนหวี แห่งอาณาจักรฉาน(ไทยใหญ่ )ได้บันทึกว่า เชื้อสายราชวงศ์ของ ราชาเจ้าเทียนคำแท่ง(คำแท่ง) แห่ง แคว้นจิวจิ(ไชยา) ได้สร้าง อาณาจักรโกสมพี กรุงแสนหวี ขึ้นในเวลาต่อมาในพื้นที่ดินแดน ของ ประเทศพม่า ในปัจจุบัน มีการพบหลักฐานประวัติความเป็นมาของ แคว้นโกสมพี โดย หวงฮุ่ยคุณ โดยได้ค้นพบต้นฉบับของพงศาวดาร ของ อาณาจักรโกสมพี กรุงแสนหวี ที่เกิดขึ้นจากเชื้อสายราชวงศ์ที่อพยพไปจาก แคว้นจิวจิ(ไชยา) สมัย สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ แล้วได้ไปสร้างอาณาจักรโกสมพี(แสนหวี) ขึ้นใหม่ในดินแดนประเทศพม่า ปัจจุบัน หวงฮุ่ยคุณ ได้สรุปการกำเนิด ของ อาณาจักรโกสมพี กรุงแสนหวี มีข้อความตอนหนึ่ง ว่า...
“...ต่อมา(พ.ศ.๘๐๕-๘๐๖) เจ้าชายแสงอูติ่ง(เจ้าชายคำแสง แห่ง แคว้นจิวจิ) มีพระราชโอรสที่สำคัญ ๒ พระองค์ คือ ขุนลู(ศรีชาติตาลู) และ ขุนไล(ศรีชาติตาไล) เป็นผู้ออกไปสร้างบ้านแปลงเมืองให้ชาวฉาน(ไตใหญ่) รู้จักทำนา สร้างคลองชลประทาน และรู้จักค้าขาย ในระยะแรกๆ(พ.ศ.๘๓๑) ขุนลู(ศรีชาติตาลู) ได้ไปสร้างเมืองมาว(เมืองโกสมพี) ส่วนขุนไล(ศรีชาติตาไล) เป็นผู้ไปสร้างเมืองกอง และเมืองยอง จนกลายเป็น อาณาจักรโกสมพี ในดินแดน ของ ชนชาติฉาน(ไทยใหญ่) ในเวลาต่อมา(พ.ศ.๘๕๘)..."
หลักฐานเหล่านี้ คือเรื่องราวต่อเนื่องเมื่อ แคว้นจิวจิ(ไชยา) ในท้องที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี แห่ง ราชวงศ์ มหาจักรพรรดิเจ้าหารคำ(พระเจ้าสุมิตร) ได้ล่มสลายลงชั่วคราว จากผลของสงครามที่ มหาราชาพันทีมัน และ มหาราชาพันศักดา(ตาหมิง) เชื้อสายราชวงศ์ชนชาติทมิฬ ส่งกองทัพเข้าโจมตีทำลาย แคว้นจิวจิ(ไชยา) หรือ แคว้นโกสมพี(ไชยา) จนกระทั่ง เจ้าจิวเทียนคำแท่ง(คำแท่ง) สวรรคตในสงคราม
พระราชโอรสของ เจ้าจิวเทียนคำแท่ง มีพระนามว่า เจ้าแสงคำ ได้เดินทางมาครอบครองแว่นแคว้นเดิม โดยย้ายที่ตั้งศูนย์กลางอำนาจรัฐใหม่ โดยไปสร้างพระราชวังหลวงขึ้นบริเวณ เชิงภูเขาศรีโพธิ์(ภูเขาสายหมอ) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของพระราชวังหลวง ดั้งเดิม พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อแคว้นใหม่ว่า “แคว้นกิ่งดาว”